กลับไปหน้าโครงการวิจัยทั้งหมด รหัสโครงการ : R000000675 ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) : การพัฒนากระบวนการสรรหาคณะกรรมการตัดสินการประกวดงานสืบสานประเพณีบุญบั้งไฟของอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) : The Development of the Selection Process for Judging Committees in the Traditional Bun Bang Fai Festival of Mae Poen District, Nakhon Sawan Province คำสำคัญของโครงการ(Keyword) : การพัฒนากระบวนการสรรหา หน่วยงานเจ้าของโครงการ : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ > โปรแกรมวิชาการพัฒนาชุมชน ลักษณะโครงการวิจัย : โครงการวิจัยเดี่ยว ลักษณะย่อยโครงการวิจัย : ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย ประเภทโครงการ : โครงการวิจัยใหม่ สถานะของโครงการ : propersal งบประมาณที่เสนอขอ : 100000 งบประมาณทั้งโครงการ : 100,000.00 บาท วันเริ่มต้นโครงการ : 08 พฤษภาคม 2568 วันสิ้นสุดโครงการ : 07 พฤษภาคม 2569 ประเภทของโครงการ : การวิจัยพื้นฐาน กลุ่มสาขาวิชาการ : สังคมศาสตร์ สาขาวิชาการ : สาขาสังคมวิทยา กลุ่มวิชาการ : สังคมวิทยา ลักษณะโครงการวิจัย : ไม่ระบุ สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ : สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ สร้างความร่วมมือประหว่างประเทศ GMS : ไม่สร้างความร่วมมือทางการวิจัยระหว่างประเทศ นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา : นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาณภาพการศึกษา เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต : ไม่เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต ความสำคัญและที่มาของปัญหา : หลักการและเหตุผลของโครงการวิจัยย่อย (แสดงถึงบริบทของความสำคัญและที่มาของปัญหาที่ทำการวิจัย และอธิบายความจำเป็นและความสำคัญที่โครงการวิจัยจะเข้าไปแก้ไขปัญหาสำคัญ/พัฒนาศักยภาพที่สำคัญและระบุคำถามงานวิจัยของโครงการวิจัย)ประเพณีบุญบั้งไฟนับเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวไทยโดยเฉพาะในภูมิภาคภาคอีสานและบางพื้นที่ของภาคกลาง ประเพณีนี้มีรากฐานมาจากความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับการขอฝนจากเทพเจ้าเพื่อการเกษตรกรรม ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ผูกพันกับชาวชนบทไทยมาอย่างยาวนาน การจุดบั้งไฟในงานประเพณีถือเป็นการสื่อสารทางจิตวิญญาณระหว่างมนุษย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลและยังเป็นช่วงเวลาแห่งความสามัคคีในชุมชนผ่านกิจกรรมร่วมกัน งานบุญบั้งไฟของอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ ถือเป็นประเพณีที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างยิ่งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่กิจกรรมทางศาสนาและความเชื่อ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนที่มีอายุยาวนานมากกว่าปี การจัดงานบุญบั้งไฟจึงมีความสำคัญทั้งในด้านการอนุรักษ์ประเพณี การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนในแต่ละปี (พระคงศักดิ์ สิริคุตโต (หมั่นวิชา),2560.การประกวดบุญบั้งไฟเป็นกิจกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความสนุกสนานและความภาคภูมิใจให้กับผู้เข้าร่วมประกวดและในขณะเดียวกันยังช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์และสืบสานประเพณีดังกล่าวให้ยั่งยืนต่อไป โดยผลการประกวดจะได้รับการตัดสินจากคณะกรรมการที่มีหน้าที่ในการพิจารณาผลงานของผู้เข้าประกวดอย่างยุติธรรมและโปร่งใส แต่กระบวนการสรรหาคณะกรรมการตัดสินในปัจจุบันกลับมีข้อจำกัดหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความยุติธรรมของผลการประกวด การคัดเลือกคณะกรรมการตัดสินในปัจจุบันยังคงขาดความโปร่งใสและขั้นตอนที่ชัดเจนในกระบวนการสรรหาคณะกรรมการ ซึ่งอาจเกิดจากการพิจารณาคัดเลือกโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือความนิยมมากกว่าคุณสมบัติที่จำเป็นในการตัดสินผลการประกวด (สุนันทา กินรีวงค์, 2554.) ขาดการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับเกณฑ์การเลือกคณะกรรมการและขาดการมีส่วนร่วมจากชุมชนอย่างเป็นทางการ ทำให้การตัดสินผลการประกวดอาจขาดความน่าเชื่อถือและไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้เข้าร่วมและชุมชน ความไม่โปร่งใสและความไม่ยุติธรรมในกระบวนการคัดเลือกคณะกรรมการอาจส่งผลต่อความไว้วางใจในกระบวนการตัดสิน และทำให้เกิดความไม่พึงพอใจในหมู่ผู้ประกวดและประชาชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความต่อเนื่องของการจัดงานบุญบั้งไฟในอนาคต (จารุวรรณ บุญสอน,2560.) การไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านความยุติธรรมและการโปร่งใส อาจทำให้กระบวนการจัดงานบุญบั้งไฟไม่สามารถสะท้อนถึงอัตลักษณ์และความต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง การพัฒนากระบวนการสรรหาคณะกรรมการตัดสินจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีการปรับปรุงโดยการคัดเลือกคณะกรรมการที่มีความรู้ความเข้าใจในประเพณีบุญบั้งไฟและมีความสามารถในการตัดสินอย่างเป็นกลางและยุติธรรม (พระมหาบุญประสิทธิ์ นาถปุญฺโญ (การัตน์),2565.) การให้ความสำคัญกับความมีส่วนร่วมของชุมชนในการคัดเลือกคณะกรรมการจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในการตัดสินผลประกวด ซึ่งจะทำให้กระบวนการตัดสินเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการสรรหาคณะกรรมการจะไม่เพียงแต่ช่วยให้เกิดความโปร่งใส แต่ยังสามารถสะท้อนถึงความต้องการและความคิดเห็นของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในงานได้ดียิ่งขึ้น (พระพีระพงษ์ พิชาลี และ ชุลีรัตน์ เจริญพร,2561.) การพัฒนากระบวนการสรรหาคณะกรรมการที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใสจะเป็นการเสริมสร้างความยั่งยืนในการจัดงานบุญบั้งไฟในอนาคต การสร้างมาตรฐานการคัดเลือกคณะกรรมการที่ยุติธรรมและโปร่งใสจะช่วยให้การตัดสินผลประกวดเป็นไปตามหลักการที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ ซึ่งจะส่งผลให้กระบวนการตัดสินมีความเชื่อมั่นและสามารถสะท้อนถึงความต้องการของชุมชนได้ดียิ่งขึ้น (รติยา นิสะโสกะ,2557.)การพัฒนากระบวนการสรรหาคณะกรรมการตัดสินในงานบุญบั้งไฟจึงมีความสำคัญในการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับประเพณีนี้โดยไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้เข้าร่วมประกวดและชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการสืบสานและอนุรักษ์ประเพณีบุญบั้งไฟให้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างยาวนาน การพัฒนากระบวนการคัดเลือกที่โปร่งใสและยุติธรรมจะทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถร่วมมือกันในการส่งเสริมประเพณีอันดีงามนี้ได้อย่างยั่งยืน การพัฒนากระบวนการดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการจัดงานในอนาคต ซึ่งจะส่งผลดีต่อการอนุรักษ์และพัฒนาประเพณีบุญบั้งไฟให้คงอยู่ในชุมชนต่อไปในระยะยาว โดยการสร้างความเชื่อมั่นและความร่วมมือจากทุกฝ่ายในชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเพณีบุญบั้งไฟยั่งยืนและมีความหมายต่อชุมชนและประเทศชาติในอนาคต จุดเด่นของโครงการ : กระบวนการสรรหาคณะกรรมการ วัตถุประสงค์ของโครงการ : 1. ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดตั้งคณะกรรมการตัดสินการแข่งขันงานบั้งไฟอำเภอแม่เปินจังหวัดนครสวรรค์ 2. ศึกษากระบวนการและวิธีการสรรหาคณะกรรมการตัดสินการประกวดงานบุญบั้งไฟในปัจจุบันเพื่อตรวจสอบขั้นตอนและข้อจำกัดที่มีในกระบวนการสรรหา3. พัฒนาและเสนอแนวทางการสรรหาคณะกรรมการที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในกระบวนการตัดสินงานบุญบั้งไฟในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ ขอบเขตของโครงการ : ขอบเขตการดำเนินงานวิจัย1. การศึกษากระบวนการปัจจุบัน (Current Process Study)1) สำรวจและวิเคราะห์กระบวนการสรรหาคณะกรรมการที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยสัมภาษณ์ผู้จัดงาน ผู้เข้าร่วมประกวด และคณะกรรมการ2) ศึกษาข้อจำกัดและปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการสรรหา2 การพัฒนาคู่มือการสรรหาคณะกรรมการ (Developing Selection Guidelines) พัฒนาแนวทางการสรรหาคณะกรรมการที่มีความโปร่งใสและยุติธรรม โดยคำนึงถึงคุณสมบัติของคณะกรรมการที่จำเป็น เช่น ความรู้ในประเพณี ความเป็นกลาง และความยุติธรรมในการตัดสิน3. การทดลองและประเมินผล (Testing and Evaluation)- ทดลองใช้แนวทางการสรรหาที่พัฒนาขึ้นในงานประกวดบุญบั้งไฟในปีถัดไป- ประเมินผลการดำเนินการและผลกระทบของการใช้แนวทางใหม่ในการสรรหาคณะกรรมการ4. การเผยแพร่ผลการวิจัย (Dissemination of Research Findings)- สรุปผลการวิจัยและจัดทำรายงานผลการศึกษาที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้- จัดทำการเผยแพร่ผลการวิจัยแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน ผลที่คาดว่าจะได้รับ : ด้านวิชาการ1. เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในแนวทางการสรรหาคณะกรรมการที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในกระบวนการตัดสินงานบุญบั้งไฟในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์และสามารถนำองค์ความรู้ในการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการสรรหาคณะกรรมการที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในกระบวนการตัดสินงานบุญบั้งไฟในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์2. เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์ ,ชุมชน,หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยในครั้งนี้3.เกิดชุดความรู้หรือองค์ความรู้ใหม่จากการวิจัยในประเด็นแนวทางการสรรหาคณะกรรมการที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในกระบวนการตัดสินงานบุญบั้งไฟในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์4. ผู้ได้รับผลประโยชน์ ชุมชนท้องถิ่นในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ด้านชุมชนและพื้นที่1.เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์องค์ความรู้ด้าน การพัฒนา แนวทางในการสรรหาคณะกรรมการที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในกระบวนการตัดสินงานบุญบั้งไฟในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์2. สามารถนำรูปแบบในการพัฒนาแนวทางในการสรรหาคณะกรรมการที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในกระบวนการตัดสินงานบุญบั้งไฟในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดการพัฒนาชุมชนในชุมชนอื่นต่อไปได้ ผู้ได้รับผลประโยชน์ ชุมชนท้องถิ่นในอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ : การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศที่เกี่ยวข้องงานประเพณีบุญบั้งไฟถือเป็นประเพณีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมไทย โดยเฉพาะในภาคอีสานและบางส่วนของภาคกลาง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อเรื่องการขอฝนจากเทพเจ้า รวมถึงเป็นการบูชาธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูก เช่น การบูชาแถนหรือเทพเจ้าผู้ควบคุมฟ้าฝน ประเพณีนี้ไม่ได้มีเพียงมิติทางความเชื่อ แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชน ผ่านการสร้างบั้งไฟ ขบวนแห่ และพิธีกรรมที่มีสีสัน งานวิจัยของ ประยูร วงศ์จันทรา. (2553) ชี้ให้เห็นว่าประเพณีบุญบั้งไฟไม่ได้มีเพียงบทบาทในการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่ยังช่วยสร้างความสามัคคีในชุมชนและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมและสนับสนุนกิจกรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ คมคาย จินโจ (2558 เว็บไซต์) บุญบั้งไฟยังเป็นประเพณีที่สะท้อนการปรับตัวของชุมชนต่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน หลายชุมชนได้พัฒนารูปแบบการจัดงานให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างความน่าสนใจ เช่น การเพิ่มกิจกรรมการประกวดบั้งไฟแฟนตาซีและการแสดงทางวัฒนธรรม ทำให้งานบุญบั้งไฟเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยรักษาและต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่ต่อไป กระบวนการจัดงานวัฒนธรรมท้องถิ่น การจัดงานวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น งานบุญบั้งไฟ มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ตั้งแต่การวางแผน การจัดหาแหล่งทรัพยากร การประสานงานกับชุมชน และการประชาสัมพันธ์ สอดคล้องกับพัชรินทร์ สิรสุนทร. (2552) ชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จของการจัดงานขึ้นอยู่กับความร่วมมือระหว่างผู้นำชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอนจะช่วยให้การจัดงานมีความสมบูรณ์และยั่งยืนมากขึ้น งานวิจัยยังระบุว่าการจัดงานวัฒนธรรมที่ดีต้องคำนึงถึงการบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่ เช่น การจัดเตรียมสถานที่ การควบคุมปริมาณขยะ และการรักษาความปลอดภัย การศึกษาของ ชมพูนุช เมฆเมืองทอง และศิริปประภา แสงจิตร. (2561) พบว่า การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์และการจัดการระบบบัตรเข้าชม สามารถเพิ่มความสะดวกและลดความซับซ้อนของกระบวนการจัดงานได้ การคัดเลือกคณะกรรมการตัดสินในงานวัฒนธรรม เช่น การประกวดบั้งไฟ การแสดงศิลปวัฒนธรรม หรือกิจกรรมที่ต้องอาศัยการประเมินคุณภาพและผลลัพธ์ จำเป็นต้องคำนึงถึงหลักการสำคัญ ได้แก่ ความเชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้อง ความยุติธรรม และความโปร่งใส Claudio Fernandez-Araoz (1999) ชี้ให้เห็นว่า การคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถทางวิชาการ ประสบการณ์ และความน่าเชื่อถือในการเป็นคณะกรรมการตัดสินมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของงาน นอกจากนี้ การอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของคณะกรรมการในด้านเกณฑ์การประเมิน การจัดการความขัดแย้ง และการรักษาความเป็นกลาง ยังช่วยสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนและความน่าเชื่อถือในสายตาผู้เข้าร่วมงานและชุมชน เพิ่มเติมจากงานวิจัยของ ณัฐกานต์ (2565) พบว่า การจัดอบรมและสร้างเกณฑ์การตัดสินที่โปร่งใสและเข้าใจง่าย มีผลช่วยลดความคลุมเครือและข้อขัดแย้งในกระบวนการตัดสิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันที่มีความหลากหลายในมุมมองของผู้เข้าร่วม นอกจากนี้ การสร้างเครือข่ายคณะกรรมการที่มีประสบการณ์จากหลากหลายภูมิภาคยังส่งผลเชิงบวกต่อการตัดสิน เนื่องจากช่วยเพิ่มมุมมองที่หลากหลาย ลดอคติ และส่งเสริมความยุติธรรม ในกระบวนการพัฒนาคณะกรรมการ การใช้กลยุทธ์ในการสร้าง เกณฑ์การคัดเลือกที่ชัดเจน และการให้ข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของคณะกรรมการมีความสำคัญ งานวิจัยจาก Smith และคณะ (2020) สนับสนุนว่า การกำหนดกรอบการทำงานอย่างชัดเจน และ การใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจสอบผลการตัดสิน เป็นวิธีการที่เพิ่มความโปร่งใสและสร้างความไว้วางใจจากผู้เข้าร่วมงาน ท้ายที่สุด การพัฒนาคณะกรรมการตัดสินไม่เพียงแค่การอบรมและพัฒนาทักษะเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่ยังต้องเน้นไปที่การเสริมสร้างจิตสำนึกในด้านธรรมาภิบาล การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีม และการส่งเสริมคุณค่าของความยุติธรรมและความโปร่งใสในทุกขั้นตอนของการทำงานแนวคิดเกี่ยวกับความโปร่งใสและธรรมาภิบาลความโปร่งใส (Transparency) และธรรมาภิบาล (Good Governance) ความโปร่งใสและธรรมาภิบาลเป็นหลักการสำคัญที่ได้รับการยอมรับในทุกวงการจัดการ รวมถึงงานวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่ม แนวคิดนี้มุ่งเน้นให้เกิดความไว้วางใจ ความยุติธรรม และความยั่งยืนในกระบวนการดำเนินงาน โดยเฉพาะในบริบทที่มีการแข่งขัน การตัดสิน หรือการคัดเลือกที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของชุมชน ความโปร่งใสหมายถึงการดำเนินงานที่เปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนและเป็นระบบ สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการ เช่น การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเกณฑ์การตัดสิน รายชื่อคณะกรรมการ คุณสมบัติของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนผลการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.2552) ระบุว่าการจัดทำระบบเผยแพร่ข้อมูลที่เข้าถึงง่ายและเข้าใจได้ เช่น เว็บไซต์หรือสื่อสารสนเทศ สามารถช่วยลดปัญหาการเข้าใจผิด เพิ่มความไว้วางใจจากผู้เกี่ยวข้อง และลดความเสี่ยงในการเกิดความขัดแย้งในชุมชน 2) แนวคิดด้านธรรมาภิบาล ธรรมาภิบาลเน้นความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ การมีส่วนร่วม และการยึดถือประโยชน์ส่วนรวม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (2552) ได้เน้นถึงความสำคัญของการกำหนดโครงสร้างองค์กรและการมอบหมายหน้าที่ให้ชัดเจนในกระบวนการจัดการงานประเพณีท้องถิ่น โดยเฉพาะการกำหนดคณะกรรมการที่มีคุณสมบัติเหมาะสม การตัดสินใจบนฐานของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ และการจัดตั้งกลไกตรวจสอบและประเมินผล การประยุกต์ใช้ความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในงานวัฒนธรรม ในงานวัฒนธรรม เช่น การจัดประกวดงานบุญบั้งไฟ หลักการความโปร่งใสและธรรมาภิบาลมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการดำเนินงานในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกคณะกรรมการ การกำหนดเกณฑ์การตัดสิน ไปจนถึงการประกาศผลการประกวดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ. (2552). ชี้ให้เห็นว่า การใช้ระบบจัดเก็บข้อมูลและการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น เว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย สามารถลดความไม่โปร่งใส และสร้างความไว้วางใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียธรรมาภิบาลในงานวัฒนธรรมเน้นความรับผิดชอบ การมีส่วนร่วม และความยุติธรรมของกระบวนการ การกำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการจัดงาน การตรวจสอบและประเมินผล ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เสริมสร้างธรรมาภิบาล แนวทางการประเมินกระบวนการ การประเมินกระบวนการจัดงานวัฒนธรรมท้องถิ่นสามารถทำได้โดยใช้กรอบแนวคิด CIPP (Context, Input, Process, Product) ซึ่งครอบคลุมการวิเคราะห์บริบท การจัดสรรทรัพยากร การดำเนินงาน และผลลัพธ์ (Stufflebeam, 2003)) ความสำคัญของการประเมินกระบวนการในงานวัฒนธรรม การประเมินกระบวนการจัดงานวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นขั้นตอนสำคัญในการตรวจสอบประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดงาน การประเมินช่วยให้ผู้จัดงานสามารถระบุปัญหา ปรับปรุงกระบวนการ และวางแผนการดำเนินงานในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในงานวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับชุมชน การประเมินอย่างเป็นระบบสามารถเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับงาน รวมถึงสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กรอบแนวคิด CIPP (Context, Input, Process, Product)กรอบแนวคิด CIPP ของ Stufflebeam (2003) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการประเมินกระบวนการ โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก(บริบท): การวิเคราะห์ความต้องการ ความเหมาะสม และเป้าหมายของการจัดงาน ตัวอย่างเช่น การประเมินว่างานสะท้อนถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมและความต้องการของชุมชนหรือไม่ - Input (ทรัพยากร): การตรวจสอบการจัดสรรทรัพยากร เช่น งบประมาณ บุคลากร และวัสดุอุปกรณ์ ว่ามีความเพียงพอและเหมาะสมหรือไม่ การประเมินขั้นตอนการดำเนินงาน เช่น การสรรหาคณะกรรมการ การเตรียมงาน และการจัดกิจกรรม ว่ามีความเป็นระบบและสอดคล้องกับแผนงานหรือไม่- Product (ผลลัพธ์): การวัดความสำเร็จของงานในด้านผลกระทบต่อชุมชน เช่น ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมและการบรรลุเป้าหมายของงาน ในการประเมินงานเทศกาลท้องถิ่นช่วยให้สามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนในกระบวนการจัดงานได้อย่างครอบคลุม และเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการปรับปรุงในอนาคต 3) การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประเมิน การประเมินกระบวนการที่มีประสิทธิภาพควรเน้นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม เช่น ผู้จัดงาน ผู้เข้าร่วม คณะกรรมการ และชุมชนในพื้นที่ การเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เช่น การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสำรวจความคิดเห็น ช่วยให้ได้มุมมองที่หลากหลายและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมงาน ตัวอย่างเชิงปฏิบัติ เช่น ในงานบุญบั้งไฟของอำเภอแม่เปิน การจัดประชุมระดมความคิดเห็นหลังงานหรือการเปิดรับข้อเสนอแนะจากชุมชนสามารถช่วยระบุปัญหาและแนวทางแก้ไขที่ตอบสนองความต้องการของผู้เกี่ยวข้องได้ 4) เครื่องมือและเทคนิคการเก็บข้อมูลในการประเมินกระบวนการ การประเมินกระบวนการจัดงานสามารถใช้เครื่องมือและเทคนิคที่หลากหลายเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น: ใช้แบบสอบถามเพื่อรวบรวมข้อมูลจากผู้เข้าร่วมงานเกี่ยวกับความพึงพอใจ ความคิดเห็นต่อกระบวนการจัดงาน และข้อเสนอแนะ - การสัมภาษณ์เชิงลึก: เก็บข้อมูลเชิงลึกจากผู้จัดงาน คณะกรรมการ และชุมชนเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ไข - การสังเกตการณ์: ใช้วิธีการสังเกตกระบวนการจัดงานและพฤติกรรมของผู้เข้าร่วม เพื่อระบุปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น - การวิเคราะห์เอกสาร: ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น รายงานการดำเนินงาน แผนการจัดงาน และงบประมาณ 5) ตัวอย่างการประยุกต์ใช้แนวทางการประเมินกระบวนการในงานวัฒนธรรม งานวิจัยของ ศิริพร ศรีจันทร์ (2564)ในการประเมินงานประเพณีสงกรานต์ของภาคอีสาน ใช้กรอบแนวคิด ควบคู่กับการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสำรวจความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมงาน พบว่าปัญหาสำคัญคือการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่สมดุล และความไม่ชัดเจนในเกณฑ์การตัดสิน การปรับปรุงในเรื่องนี้ช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความเชื่อมั่นของผู้เกี่ยวข้องในงาน 6) ประโยชน์ของการประเมินกระบวนการจัดงานวัฒนธรรม การประเมินกระบวนการจัดงานวัฒนธรรมท้องถิ่นสามารถ:- ช่วยปรับปรุงกระบวนการให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น - เพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในกระบวนการจัดงาน - ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้เกี่ยวข้อง- ลดความขัดแย้งและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น5. แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนรวมของประชาชนมีนักวิชาการหลากหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของการมีส่วนร่วมไว้อย่างหลากหลาย ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาและเรียบเรียงไว้ ดังนี้ ประชัยศรีจามร (ประชัยศรีจามร อ้างถึงใน วิษณุ หยกจินดาน.8) ได้ให้ ความหมายของการมีส่วนร่วมของประชาชนว่า เป็นการสร้างโอกาสให้ประชาชนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในแนวทางการพัฒนา โดยผ่านทางกระบวนการส่งเสริม ชักนำการสนับสนุนให้ ประชาชนเข้ามามีบทบาทในการเรียนรู้ การริเริ่มในการคิดร่วมกำหนดแนวทางในการพัฒนาร่วมแก้ไขและวางแผนปฏิบัติ รวมทั้งมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือทรัพยากรทางการบริการตลอดจน อำนาจในการตัดสินใจในการกำหนดกิจกรรม แนวทางการดำเนินกิจกรรมของตนเองให้เกิดขึ้นเกิดขึ้นภายในชุมชนด้วยความเต็มใจ และเต็มความสามารถของตนเองเพื่อเพิ่มและพัฒนาขีดความสามารถในการจัดการและควบคุมการใช้และการกระจายทรัพยากรตลอดจนปัจจัยการผลิตในสังคมอันจะนำไปสู่การพึ่งพาตนเอง สุนทรกองทรัพย์ (สุนทร กองทรัพย์อ้างถึงใน วิษณุ หยกจินดาได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วม ว่าหมายถึงการที่บุคคลหรือกลุ่มคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการในรูปกิจกรรม ใดกิจกรรมหนึ่งด้วยความสมัครใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ได้ตั้งใจอันเป็นประโยชน์ต่อตัวบุคคล ต่อกลุ่มคน รวมทั้งต่อส่วนรวมโดยที่ประชาชนต้องเป็นคนตัดสินใจในกระบวนการมีส่วนร่วมด้วยตนเองและรับผิดชอบในผลที่เกิดขึ้น สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนหมายถึงความร่วมคิดร่วมปฏิบัติร่วมรับผล และร่วมรับผิดชอบด้วยกันไม่ว่าจะเป็นของบุคคลหรือของกลุ่มทั้งนี้เพื่อให้เกิดการดำเนินงานเกิดการพัฒนาและเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ต้องการซึ่งการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของการพัฒนาชุมชนส่งผลให้การดำเนินงานหรือการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ตามแผนงานหรือโครงการเกิดประสิทธิผล หรือคือการที่ประชาชนหรือกลุ่มบุคคลได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการคิดริเริ่ม ตัดสินใจช่วยปฏิบัติการเข้ามาร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาชุมชนของตน ร่วมกันกระทำในสิ่งที่ลงความเห็นร่วมกันตามความต้องการของชุมชน และสิ่งที่ช่วยกันทำต้องเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจกำหนดปัญหาความต้องการของตนเองอย่างแท้จริง เป็นการเสริมสร้างพลัง ให้แก่ประชาชนใน ชุมชน/ กลุ่ม /องค์กรที่ตั้งขึ้นในชุมชน ปาริชาติวลัยเสถียรและคณะ (2552น.205)ได้กล่าวถึงลักษณะที่เป็นกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาของประชาชนไว้ดังนี้1. การมีส่วนร่วมในการศึกษาชุมชน จะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนได้ร่วมกันเรียนรู้สภาพ ของชุมชนการดำเนินชีวิตทรัยพากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการทำงานและร่วมกัน ค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาตลอดจนจัดลำดับความสำคัญของปัญหา2. การมีส่วนร่วมในการวางแผน โดยจะมีการรวมกลุ่มอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพื่อการกำหนดนโยบายวัตถุประสงค์วิธีการแนวทางการดำเนินงานและทรัพยากรที่ต้องใช้3. การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานพัฒนาโดยสนับสนุนด้านวัสดุ อุปกรณ์แรงงาน เงินทุน หรือเข้าร่วมบริหารงาน การใช้ทรัพยากร การประสานงานและดำเนินการขอความช่วยเหลือจาก ภายนอก4. การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์จากการพัฒนา เป็นการนำเอากิจกรรมมาใช้ให้เกิด ประโยชน์ทั้งด้านวัตถุและจิตใจโดยอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกับบุคคลและสังคม5. การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผลการพัฒนา เพื่อให้จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ทันที สรุปได้ว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนานั้นเป็นกระบวนการที่ประชาชนเข้ามา มีบทบาทในการร่วมคิดร่วมทำร่วมแก้ไขดำเนินงานพัฒนาชุมชนโดยมีพื้นฐานที่สำคัญมี 3 ประการคือ1. กลไกการพัฒนาต้องเกิดจากประชาชนโดยประชาชนมีบทบาทหลักในการพัฒนา2. เป้าหมายการพัฒนาคือ การพัฒนาขีดความสามารถเพื่อพึ่งตนเองและพัฒนาตนเอง มิใช่การพึ่งพารัฐหรือองค์กรพัฒนาภายนอก3. กระบวนการพัฒนายึดหลักความต้องการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นภายในชุมชนจากตัว ประชาชนเองมากกว่าความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก จากแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม ได้แสดงให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นต้องพิจารณาการมีส่วนร่วมตั้งแต่การมีส่วนร่วมในการคิดค้นปัญหาารมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์และการมีส่วนร่วมในการประเมินผลสำหรับการสร้างเสริมการมีส่วนร่วมและความเข้มแข็งของชุมชนควรเริ่มต้นจากการกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความสนใจและตระหนักถึงความจำเป็นของการเป็นชุมชน มีความสนใจร่วมและมีการดำเนินกิจกรรมที่ตอบสนองต่อความสนใจและความต้องการของสมาชิกในชุมชนโดยการสร้างกระบวนการเรียนรู้และความสามารถในการแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากร รวมทั้งการเสริมข้อมูลช่วยประสานงานในเบื้องต้นให้เกิดการตัดสินใจ ความสามารถในการต่อรองและการพึ่งตนเองของชุมชนให้ได้เพื่อประโยชน์สูงสุดของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรมและทุนทรัพยากรธรรมชาติ โดยสรุปตามแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมนั้นเป็นการรวมกันของคนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นพื้นฐานของคนส่วนใหญ่ที่มุ่งแก้ปัญหาในด้านต่างๆโดยการรวมตัวกันประสานความรู้ความคิดนำมาประกอบใช้เป็นแนวทางร่วมตัดสินใจและวางแผนและยังถือว่าการมีส่วนร่วมนั้นเป็นการระดมสมองจากบุคคลหลายๆฝ่ายไม่ปิดกั้นอุดมการณ์ความรู้สึกนึกคิดแต่ต้องอยู่ในกรอบของคนโดยรวมและไม่ขัดแย้งกับความคิดของกลุ่ม จากการทบทวนวรรณกรรม การจัดงานวัฒนธรรมเช่นงานประเพณีบุญบั้งไฟต้องการการบูรณาการแนวคิดทางวัฒนธรรม การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการประเมินผลที่ชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดงานเป็นไปอย่างราบรื่นและสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนในท้องถิ่น รวมถึงสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระยะยาวเมื่อพิจารณาประเด็นการจัดการสังคมและวัฒนธรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครสวรรค์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในด้านสังคมและวัฒนธรรมดังจะเห็นได้จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ มีนโยบายในการสนับสนุนให้มีการขยายองค์กรเครือข่ายการดำเนินงานวัฒนธรรมให้เกิดการกระจายอำนาจทางวัฒนธรรมไปทุกชุมชน ทุกท้องถิ่นโดยมุ่งเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและขับเคลื่อนการดำเนินงานวัฒนธรรมในท้องถิ่นของตนเองในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถสร้างกระแสการรับรู้ทางด้านวัฒนธรรม การเชื่อมโยงการดำเนินงานวัฒนธรรมร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีส่วนร่วมในการดำเนินงานวัฒนธรรมทั้งในระดับชุมชนภูมิภาค และระดับประเทศ ซึ่งเป็นการบูรณาการงานวัฒนธรรมเข้ากับยุทธศาสตร์จังหวัดโดยสามารถบรรจุโครงการและกิจกรรมทางวัฒนธรรม เข้าในแผนการดำเนินงานของหน่วยงานและบูรณาการเข้ากับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัดสมมติฐานงานวิจัยสมมติฐานที่ 1: การพัฒนากระบวนการสรรหาคณะกรรมการที่มีความโปร่งใสและยุติธรรมจะเพิ่มความเชื่อมั่นในกระบวนการตัดสินการประกวดงานบุญบั้งไฟของอำเภอแม่เปิน1) การปรับปรุงกระบวนการสรรหาคณะกรรมการจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมประกวดและชุมชนมีความเชื่อมั่นในการตัดสินของคณะกรรมการ2: คุณสมบัติของคณะกรรมการในการตัดสินงานบุญบั้งไฟจะมีผลต่อความยุติธรรมในการตัดสิน) คณะกรรมการที่มีความรู้ความเข้าใจในประเพณีท้องถิ่นและความเป็นกลางจะช่วยให้การตัดสินมีความยุติธรรมและโปร่งใสมากขึ้น3: การสร้างความโปร่งใสในการสรรหาคณะกรรมการจะส่งผลให้กระบวนการจัดงานบุญบั้งไฟมีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับจากชุมชน1) ความโปร่งใสจะช่วยสร้างความไว้วางใจจากชุมชนและทำให้การจัดงานบุญบั้งไฟมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ทฤษฎี สมมุติฐาน กรอบแนวความคิด : กรอบแนวคิด งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการพัฒนากระบวนการสรรหาคณะกรรมการตัดสินการประกวดงานบุญบั้งไฟของอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีกรอบแนวคิดในการศึกษาประกอบด้วย ส่วนหลักคือ1) กระบวนการสรรหาคณะกรรมการ (Selection Process) กระบวนการสรรหาคณะกรรมการตัดสินจะต้องมีการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในด้านประเพณีวัฒนธรรม ความเป็นกลาง และความยุติธรรม รวมถึงการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน การสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบได้จะช่วยให้การตัดสินมีความเชื่อมั่นและยอมรับจากทุกฝ่าย2) คุณสมบัติของคณะกรรมการ (Qualifications of the Judges) คณะกรรมการที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะมีผลต่อความโปร่งใสในการตัดสินงานบุญบั้งไฟ โดยจะต้องมีคุณสมบัติในด้านต่างๆ เช่น ความรู้เกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่น ความเป็นกลาง ความยุติธรรม ทักษะในการตัดสินที่เหมาะสมกับลักษณะของการประกวด3)ความโปร่งใสและความยุติธรรมในการตัดสิน (Transparency and Fairness in Decision Making) การพัฒนากระบวนการตัดสินให้มีความโปร่งใสและยุติธรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการประกวด โดยการสร้างระบบที่สามารถตรวจสอบได้และเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ผลกระทบต่อการอนุรักษ์และการส่งเสริมวัฒนธรรม (Impact on Cultural Preservation and Promotion) การจัดการกระบวนการสรรหาคณะกรรมการที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลต่อการอนุรักษ์ประเพณีบุญบั้งไฟและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล : วิธีการดำเนินงานวิจัย ( ระบุวิธีการดำเนินงานวิจัยที่สำคัญโดยละเอียดในทุกขั้นตอน )วิธีดำเนินการวิจัยการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง- รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเอกสาร หนังสือ บทความวิจัย และรายงานการศึกษาที่เน้นเรื่องกระบวนการสรรหาคณะกรรมการ การประเมินคุณสมบัติ และความโปร่งใสในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประกวดและการจัดงานประเพณีในพื้นที่ต่างๆ- วิเคราะห์แนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) ในกระบวนการสรรหาคณะกรรมการจากกรณีศึกษาในประเทศและต่างประเทศ2.การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม 2.1 การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview): ดำเนินการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการจัดงานบุญบั้งไฟในอำเภอแม่เปิน เช่น คณะกรรมการจัดงาน ผู้สมัครเข้ารับตำแหน่งคณะกรรมการตัดสิน ผู้นำชุมชน และตัวแทนชาวบ้าน2.2 การสำรวจความคิดเห็น (Survey Research):จัดทำแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับความคาดหวัง ความพึงพอใจ และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกระบวนการสรรหาคณะกรรมการ3. การวิเคราะห์ข้อมูล- วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) จากการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อสรุปประเด็นเกี่ยวกับปัญหาและข้อจำกัดในกระบวนการสรรหา- วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) จากแบบสอบถาม โดยใช้สถิติพื้นฐาน เช่น ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.การจัดเวทีเสวนาเพื่อรวบรวมความคิดเห็น (Focus Group Discussion)- เชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้จัดงาน คณะกรรมการตัดสิน ตัวแทนชุมชน และนักวิชาการด้านวัฒนธรรมมาร่วมเสวนา เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนากระบวนการสรรหา- รับฟังข้อเสนอแนะและความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางที่ได้จากการวิเคราะห์เบื้องต้น5.การพัฒนาแนวทางการสรรหาคณะกรรมการ- สร้างกรอบแนวทางการสรรหาคณะกรรมการที่มีความเป็นธรรมและโปร่งใส โดยพิจารณาคุณสมบัติที่เหมาะสม เช่น ความรู้ความเชี่ยวชาญในประเพณี ความเป็นกลาง และทักษะการตัดสิ-น จัดทำคู่มือและข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินการในอนาคต6. การทดลองและประเมินผล- นำแนวทางการสรรหาที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้ในการประกวดงานบุญบั้งไฟในปีถัดไป- ประเมินผลกระทบของแนวทางที่พัฒนาขึ้นต่อความโปร่งใส ความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความเชื่อมั่นในกระบวนการตัดสิน7. การสรุปผลและจัดทำรายงานการวิจัย- สรุปผลการศึกษา พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนากระบวนการสรรหาในระยะยาว- เผยแพร่ผลการวิจัยแก่ชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้สนใจทั่วไป เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและการต่อยอดแนวทางที่พัฒนาแล้ว คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) : ขอบเขตการดำเนินงานวิจัย1. การศึกษากระบวนการปัจจุบัน (Current Process Study)1) สำรวจและวิเคราะห์กระบวนการสรรหาคณะกรรมการที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยสัมภาษณ์ผู้จัดงาน ผู้เข้าร่วมประกวด และคณะกรรมการ2) ศึกษาข้อจำกัดและปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการสรรหา2 การพัฒนาคู่มือการสรรหาคณะกรรมการ (Developing Selection Guidelines) พัฒนาแนวทางการสรรหาคณะกรรมการที่มีความโปร่งใสและยุติธรรม โดยคำนึงถึงคุณสมบัติของคณะกรรมการที่จำเป็น เช่น ความรู้ในประเพณี ความเป็นกลาง และความยุติธรรมในการตัดสิน3. การทดลองและประเมินผล (Testing and Evaluation)- ทดลองใช้แนวทางการสรรหาที่พัฒนาขึ้นในงานประกวดบุญบั้งไฟในปีถัดไป- ประเมินผลการดำเนินการและผลกระทบของการใช้แนวทางใหม่ในการสรรหาคณะกรรมการ4. การเผยแพร่ผลการวิจัย (Dissemination of Research Findings)- สรุปผลการวิจัยและจัดทำรายงานผลการศึกษาที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้- จัดทำการเผยแพร่ผลการวิจัยแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน จำนวนเข้าชมโครงการ : 2 ครั้ง รายชื่อนักวิจัยในโครงการ ชื่อนักวิจัย ประเภทนักวิจัย บทบาทหน้าที่นักวิจัย สัดส่วนปริมาณงาน(%) นางสาวดนธินี ฟองคำ บุคลากรภายในมหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัย 40 กลับไปหน้าโครงการวิจัยทั้งหมด