รายละเอียดโครงการวิจัย
กลับไปหน้าโครงการวิจัยทั้งหมด

รหัสโครงการ :R000000641
ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :พุทธวิถีสู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :The Buddhist Way to Sustainable Self-Management of the Urban Community Network, Nakhon Sawan Province
คำสำคัญของโครงการ(Keyword) :พุทธวิถี,การจัดการอย?างยั่งยืน,เครือข?ายชุมชนเมือง
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ > สาขาวิชาปรัชญาและศาสนา
ลักษณะโครงการวิจัย :โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :โครงการวิจัยใหม่
สถานะของโครงการ :propersal
งบประมาณที่เสนอขอ :159879
งบประมาณทั้งโครงการ :159,879.00 บาท
วันเริ่มต้นโครงการ :01 มกราคม 2564
วันสิ้นสุดโครงการ :31 ธันวาคม 2565
ประเภทของโครงการ :งานวิจัยประยุกต์
กลุ่มสาขาวิชาการ :สังคมศาสตร์
สาขาวิชาการ :สาขาปรัชญา
กลุ่มวิชาการ :ศาสนา
ลักษณะโครงการวิจัย :ระดับชาติ
สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ : สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์
สร้างความร่วมมือประหว่างประเทศ GMS : ไม่สร้างความร่วมมือทางการวิจัยระหว่างประเทศ
นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา :นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาณภาพการศึกษา
เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต : ไม่เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :ชุมชนในประเทศไทยมีการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก แต่ในชุมชนยังมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมอยู่ ความยากจนเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขเพื่อยกระดับเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว คุณภาพชีวิตเป็นสำคัญที่จะต้องพัฒนา โดยเฉพาะคุณภาพชีวิตด้านจิตใจ (จิตวิญญาณ) ที่มีคุณธรรมจริยธรรม อันเป็นก้าวแรกในการพัฒนาสังคม ชุมชน ให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี การพัฒนาประเทศมิใช่มุ่งที่จะพัฒนาด้านวัตถุอย่างเท่านั้น จะต้องพัฒนาด้านจิตใจที่มีคุณธรรมจริยธรรมไปพร้อมกันด้วย จึงจะเรียกว่า การพัฒนาที่สมบูรณ์ ชุมชนเมืองมีการพัฒนาด้านวัตถุมากพอสมควร แต่การพัฒนาด้านจิตใจของชุมชนเมืองยังมีปัญหาที่จะต้องแก้ใข และพัฒนาให้สมบูรณ์เท่าเทียมกับการพัฒนาด้านวัตถุ เช่นเดียวกันชุมชนเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นชุมชนเมืองที่น่าสนใจในการศึกษา และจะต้องพัฒนา ตามที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ไว้ว่า 1.1 เพื่อวางรากฐานให้คนไทยเป็นคนที่สมบูรณ์ มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวินัย ค่านิยมที่ดี มีจิตสาธารณะ และมีความสุข โดยมีสุขภาวะและสุขภาพที ่ดี ครอบครัวอบอุ่น ตลอดจนเป็นคนเก่งที่มีทักษะความรู้ความสามารถและพัฒนาตนเองได้ต่อเนื่องตลอดชีวิต (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2560: หน้า 63) แนวทางการพัฒนา ข้อ 3.1 ปรับเปลี่ยนค่านิยมคนไทยให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีวินัย จิตสาธารณะ และพฤติกรรม ที่พึงประสงค์ 3.1.1 ส่งเสริมการเลี้ยงดูในครอบครัวที่เน้นการฝึกเด็กให้รู้จักการพึ่งพาตัวเอง มีความ ซื่อสัตย์ มีวินัย มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม มีความรับผิดชอบ ในรูปแบบของกิจกรรมที่เป็นกิจวัตร ประจำวัน และให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กสามารถเรียนรู้และยึดถือเป็นต้นแบบในการ ดำเนินชีวิต (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2560: หน้า 67) และแผนพัฒนาจังหวัดนครสวรรค์ (พ.ศ.2561-2565) ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์และเสริมสร้างสังคมเข้มแข็ง (สำนักงานจังหวัดนครสวรรค์, 2561: หน้า 146) ตลอดทั้งแผนงานสำคัญ (Flagship) ปีงบประมาณ 2563 ใน Platform 4 การวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ FS 20: ชุมชนนวัตกรรม วัตถุประสงค์ 1.ชุมชนมีชุดความรู้และนวัตกรรมเพื่อการจัดการตนเองในทุกมิติของการพัฒนาอย่ำงยั่งยืน (การพัฒนาคน พัฒนาเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วม และความสงบสุข) สามารถแก้ปัญหาชุมชนและปรับตัวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง โดยการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน อันมีเป้าหมายสำคัญ คือ ชุมชนมีขีดความสามารถในการเรียนรู้ และรับปรับใช้นวัตกรรม สามารถเปลี่ยนแปลงและจัดการปัญหาในชุมชน และ พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งสำคัญที่พัฒนาชุมชนได้สมบูรณ์ ก็คือการพัฒนาด้านจิตใจด้วยพุทธวิถี จากการศึกษาและสำรวจสภาพปัญหาเครือข่ายชุมชนเมืองโดยวิธีการค้นคว้าข้อมูลและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า เครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ยังขาดการจัดการตนเองอย่างยั่งยืน ซึ่งในเมืองกระแสโลกเจริญทางวัตถุมากกว่าด้านจิตใจ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยจึงได้จัดทำโครงการพุทธวิถีสู่การจัดการตนเองของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ขึ้น เครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีโครงการบ้านมั่นคงส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับคนในชุมชนเพียงยังการขาดการจัดการที่ดี และการพัฒนาชีวิตด้านจิตใจ คนจนเมืองนครสวรรค์รวมพลังเดินหน้าแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาล รวม 71 ชุมชน ใช้เวลา 16 ปี สร้าง ‘บ้านมั่นคง’ ไปแล้วกว่า 30 ชุมชน กว่า 4,000 ครัวเรือน ล่าสุด ‘ชุมชนหน้าวัดนครสวรรค์’ 42 ครอบครัวกำลังเร่งสร้าง คาดว่าภายในเดือนมีนาคมนี้จะแล้วเสร็จ ทำให้ชาวชุมชนมีบ้านใหม่ที่มั่นคง สภาพแวดล้อมดีขึ้น ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 40 ชุมชนยังติดขัดปัญหาที่ดินรองรับเพราะเป็นที่ดินสงวนของทางราชการ ปัญหาการขาดแคลนที่ดินที่อยู่อาศัยของคนจนในเมืองไทยมีอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ก็เช่นกัน ก่อนปี 2549 มีชุมชนคนยากจน ชุมชนแออัด ชุมชนที่ปลูกสร้างบ้านในที่ดินบุกรุก ทั้งของรัฐและเอกชนกว่า 70 แห่ง มีชาวบ้านที่มีความไม่มั่นคงในที่ดินที่อยู่อาศัยนับหมื่นคน อร่ามศรี จันทร์สุขศรี คณะทำงานการจัดการที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยจังหวัดนครสวรรค์ (คทน.) กล่าวว่านครสวรรค์เป็นประตูไปสู่ภาคเหนือ และเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคกลาง ทำให้ที่ดินมีราคาแพง ประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงที่ดินได้ แต่ต้องอยู่อาศัยในเมืองเพราะเป็นแหล่งทำมาหากิน เช่น ค้าขายในตลาด ทำงานรับจ้าง ส่วนใหญ่บุกรุกอยู่อาศัยในที่ดินราชพัสดุ ที่ดินวัด/สำนักงานพระพุทธศาสนา เทศบาล รถไฟ เช่าที่ดินเอกชน ฯลฯ มีปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย เสี่ยงต่อการโดนไล่ที่ รวมทั้งสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม มีปัญหาขยะ น้ำเน่าเสีย บ้านเรือนทรุดโทรมประชาชนมีรายได้น้อย ฐานะยากจนฯลฯ ขณะเดียวกัน ชุมชนต่างๆ ได้มีการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมต่างๆ เช่น กลุ่มสตรี กลุ่มออมทรัพย์ และเริ่มมีแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย โดยได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ให้ชาวบ้านรวมกลุ่มผู้เดือดร้อนเพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการบ้านมั่นคง เริ่มประมาณปี 2549 เช่น จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ชุมชนเพื่อเป็นทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ซ่อมแซมปรับปรุงบ้านที่ทรุดโทรมและสภาพ แวดล้อมในชุมชนเดิมให้ดีขึ้น เช่น ทางเดิน ท่อระบายน้ำ เริ่มที่ชุมชนเขาโรงครัว วัดเขาจอมคีรีนาคพรต รณชัย จำลองวิทย์ ฯลฯ ซึ่งต่อมาตัวแทนชุมชนต่างๆ ได้รวมกันเป็น ‘เครือข่ายบ้านมั่นคงนครสวรรค์’ เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาที่ดินที่อยู่อาศัยให้เป็นจริง มีการสำรวจชุมชนที่เดือดร้อนเพื่อเป็นใช้เป็นฐานข้อมูลในการแก้ไขปัญหา จากการสำรวจในครั้งนั้น (ช่วงปี 2550) พบว่า มีชุมชนในเขตเทศบาลบุกรุกที่ดินของราชพัสดุ 25 ชุมชน ที่ดินวัด/สำนักงานพระพุทธศาสนา 8 ชุมชน ที่ดินตนเอง/เช่าเอกชน 18 ชุมชน และที่ดินอื่น ๆ 10 ชุมชน รวม 16,319 ครัวเรือน จึงนำไปสู่การวางแผนเพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของชาวชุมชน ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดได้ร่วมกันตั้ง ‘คณะกรรมการเมือง’ ขึ้นมา เพื่อการวางแนวทางแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์ คณะกรรมการเมืองประกอบด้วย เทศบาลนครนครสวรรค์ ธนารักษ์จังหวัดนครสวรรค์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด สำนักงานส่งเสริมสหกรณ์จังหวัด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปา สำนักงานที่ดินจังหวัด และ พอช. “พอถึงช่วงปลายปี 2550 ชุมชนจำลองวิทย์ซึ่งบุกรุกที่ดินราชพัสดุถูกไฟไหม้ ชาวบ้านมีความเดือดร้อนไม่มีที่อยู่อาศัย ประมาณ 80 ครอบครัว เครือข่ายบ้านมั่นคงนครสวรรค์และคณะกรรมการเมืองจึงได้ใช้กรณีของชุมชนจำลองวิทย์เริ่มต้นแก้ไขปัญหา โดยชาวบ้านเสนอขอเช่าที่ดินเดิมที่โดนไฟไหม้ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุที่ธนารักษ์ฯ ดูแล เพื่อจะสร้างบ้านใหม่ โดย พอช. จะสนับสนุนตามโครงการบ้านมั่นคง เมื่อธนารักษ์ให้เช่าที่ดิน เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ ระยะเวลา 30 ปี ชาวบ้านจึงจัดทำโครงการบ้านมั่นคงจนแล้วเสร็จภายในเวลา 2 ปี”อร่ามศรีย้อนเส้นทางบ้านมั่นคงยุคแรกในนครสวรรค์ และว่า จากผลสำเร็จของชุมชนจำลองวิทย์ทำให้ชาวชุมชนเกิดความเชื่อมั่นในพลังของตัวเอง ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การยอมรับและเชื่อว่าชาวบ้านสามารถที่จะบริหารจัดการโครงการที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าหลายสิบล้านบาทได้ พลังภาคีแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยทั้งเมือง ชุมชนจำลองวิทย์ถือเป็นต้นแบบในการร่วมมือกับหน่วยงานรัฐเจ้าของที่ดินแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่ดินในเขตเทศบาลนครสวรรค์ เพราะพื้นที่ในเขตเทศบาลนครสวรรค์มีเนื้อที่ประมาณ 27 ตารางกิโลเมตร แต่ประมาณ 80 % เป็นที่ดินของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะที่ดินราชพัสดุที่ ธนารักษ์จังหวัดดูแลอยู่ ตัวอย่างชุมชนอื่นที่แก้ไขปัญหาไปแล้ว เช่น ชุมชนรณชัย ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้ตลาดสดเทศบาลนครนครสวรรค์ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขายในตลาด ขายปลาสด ปลาตากแห้ง ดอกไม้ รับจ้าง ฯลฯ เดิมเป็นชุมชน บุกรุกที่ดินราชพัสดุมานานกว่า 60 ปี เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่เศษ สภาพบ้านเรือนทรุดโทรม มีชาวบ้านอยู่อาศัยเกือบ 100 ครัวเรือน เพราะอยู่ใกล้ตลาด ทำมาหากินง่าย ชุมชนรณชัยได้เข้าร่วมแก้ไขปัญหาบ้านมั่นคงตั้งแต่ปี 2549 โดยการร่วมกันจัดกลุ่มออมทรัพย์มีสมาชิก 62 ราย และต่อมาได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากธนารักษ์จังหวัด เนื้อที่ 2 ไร่เศษ ระยะเวล 30 ปี เพื่อเตรียมการสร้างบ้าน แต่ต่อมามีเอกชนรายหนึ่งอ้างกรรมสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าของที่ดินโดยเอกชนอ้างว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินงอกริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตนครอบครองมาก่อน จึงฟ้องร้องกรมธนารักษ์ และฟ้องร้องให้ชาวบ้านออกไปจากที่ดิน ใช้เวลาสู้คดีในศาลนานประมาณ 10 ปี กรมธนารักษ์จึงชนะคดี และชาวบ้านได้เริ่มต้นสร้างบ้านมั่นคงในปี 2560 จำนวน 54 หลัง ขณะนี้ก่อสร้างบ้านเสร็จแล้วทั้งหมด ส่วนแบบบ้าน เป็นบ้านขนาด 4?8 ตารางเมตร แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านแฝด 2 ชั้น และบ้านแถว 2 ชั้น ราคาประมาณ 250,000-310,000 บาท ผ่อนชำระ 15 ปี (รวมค่าเช่าที่ดิน) เดือนละ 1,915-2,330 บาท โดย พอช. สนับสนุนงบประมาณสร้างสาธารณูปโภคส่วนกลาง 2.85 ล้านบาท อุดหนุนสร้างบ้านรวม 1.42 ล้านบาท โดยใช้สินเชื่อจาก พอช. รวม 11.7 ล้านบาท และธนารักษ์จังหวัดให้เช่าที่ดินระยะ 30 ปี อัตราตารางวาละ 4.50 บาทต่อเดือน ขณะที่การไฟฟ้าได้ขยายเขตไฟฟ้าเข้าไปในชุมชน สวรรค์เมืองใหม่แบ่งปันที่ดินให้เพื่อน ชุมชนสวรรค์เมืองใหม่ ถือเป็นต้นแบบการขอใช้ที่ดินรัฐหรือที่ราชพัสดุนำมาสร้างบ้านให้แก่ชาวชุมชนที่มีความเดือดร้อน เป็นที่ดินแปลงใหม่ ไม่ใช่ที่ดินที่ชาวบ้านเคยบุกรุกหรือสร้างบ้านอยู่ก่อน ที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่หลังสำนักงานอัยการงานจังหวัด เขตเทศบาลนครนครสวรรค์ เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 16 ไร่ โดยธนารักษ์จังหวัดให้เช่าที่ดินระยะเวลา 30 ปี อัตราตารางวาละ 1.75 บาทต่อเดือน ขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่กว่า 100 ครอบครัวมาจากชุมชนสถานีรถไฟปากน้ำโพ บุกรุกที่ดินการรถไฟมานานหลายสิบปี และเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคง โดยจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุน (แต่ละครอบครัวจะต้องออมเงินเข้ากลุ่มทุกเดือนเพื่อให้ได้จำนวน 10 % ของจำนวนสินเชื่อที่จะขอใช้สร้างบ้านจาก พอช.) และต่อมาได้จดทะเบียนเป็นสหกรณ์บ้านมั่นคงสวรรค์เมืองใหม่ สุชญา อินทรปัตย์ ผู้จัดการสหกรณ์บ้านมั่นคงสวรรค์เมืองใหม่ บอกว่า ชาวบ้านเริ่มรวมกลุ่มจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ตั้งแต่ปี 2554 เริ่มสร้างบ้านในปี 2560 ขณะนี้ก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จทั้งหมดจำนวน 102 หลัง และชาวบ้านส่วนใหญ่เข้าอยู่อาศัยเกือบทั้งหมดแล้ว เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียว และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 6 ? 8 ตารางเมตร ราคาบ้าน 290,000-380,000 บาท พอช.อนุมัติสินเชื่อรวม 26.5 ล้านบาท (หลังละ 230,000-300,000 บาท) และอุดหนุนสร้างบ้านหลังละ 23,000 บาท ส่วนชาวบ้านสมทบเงินหลังละ 37,000-57,000 บาท ผ่อนชำระ 15 ปี เดือนละ1,941-2,532 บาท (รวมค่าเช่าที่ดิน) นอกจากนี้ พอช.ยังสนับสนุนงบจำนวน 10.5 ล้านบาท เพื่อถมดิน ปรับภูมิทัศน์ บำบัดน้ำเสีย ส่วนเทศบาลและการไฟฟ้า สร้างถนน ประปา ขยายไฟฟ้า ฯลฯ รวมงบประมาณ 26.4 ล้านบาท “ที่ดินที่ชุมชนสวรรค์เมืองใหม่ 16 ไร่ เราใช้สร้างบ้านประมาณ 13 ไร่ ยังเหลือเนื้อที่อีก 3 ไร่ เราจะแบ่งพื้นที่ที่เหลือนี้ทำโครงการให้ชาวบ้านจากชุมชนต่างๆ ที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเองได้เข้ามาอยู่ เป็นลักษณะเป็นบ้านแถว จะสร้างได้ประมาณ 80 ห้อง ส่วนชุมชนที่จะเข้ามาอยู่ก็จะต้องทำตามกระบวนการบ้านมั่นคง คือเข้าร่วมกลุ่มออมทรัพย์ ร่วมประชุม ร่วมกิจกรรมในชุมชน ตามแผนงานจะเริ่มได้ในปี 2565” ผู้จัดการสหกรณ์บอก นอกจากนี้ยังมีบ้านมั่นคง ‘ชุมชนหน้าวัดนครสวรรค์’ ตั้งอยู่ใกล้กับชุมชนรณชัย อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 4 X 7 ตารางเมตร สร้างบ้านใหม่ในที่ดินราชพัสดุแปลงเดิม ราคาค่าก่อสร้างประมาณ 310,000 บาท โดย พอช.สนับสนุนสินเชื่อและเงินอุดหนุน ผ่อนชำระเดือนละ 2,330 บาท คาดว่าภายในเดือนมีนาคมนี้จะแล้วเสร็จทั้งหมด เดินหน้าแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนในที่ดินรัฐ อร่ามศรี จันทร์สุขศรี คณะทำงานการจัดการที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยจังหวัดนครสวรรค์ (คทน.) บอกว่า ตัวอย่างการขอเช่าที่ดินรัฐหรือราชพัสดุเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในเขตเทศบาลนครสวรรค์ เช่น ชุมชนสวรรค์เมืองใหม่และหน้าวัดนครสวรรค์ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่หน่วยงานรัฐให้การสนับสนุน แต่ในเขตเทศบาลนครสวรรค์ยังมีอีกหลายสิบชุมชน หลายพันครอบครัวที่ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ เพราะจากการสำรวจข้อมูลชุมชนผู้มีรายได้น้อย และเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาล พบว่ามีทั้งหมด 71 ชุมชน รวม 16,319 ครัวเรือน “เราเริ่มแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปี 2549 ตอนนี้เวลาผ่านไป 16 ปี เราทำไปได้ประมาณ 30 ชุมชน กว่า 4,000 ครอบครัว ยังเหลืออีกประมาณ 40 ชุมชน อีกหลายพันครอบครัวที่ยังไม่มีความมั่นคง ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง อยู่บ้านเช่า หรือที่ดินบุกรุก เสี่ยงต่อการถูกไล่ที่ แต่เราจะทำโครงการต่อไปก็ไม่ได้ เพราะยังไม่มีที่ดินรองรับ จะซื้อที่ดินก็เอกชนก็มีราคาแพงเกินกำลังคนจน ส่วนที่ดินของรัฐส่วนใหญ่ก็เป็นที่ดินสีน้ำเงินหรือที่ดินสงวนของรัฐ” อร่ามศรีบอกถึงปัญหาสำคัญ เธอยกตัวอย่างว่า ที่ดินราชพัสดุ รวมทั้งที่ดินรัฐอื่นๆ ในเขตเทศบาลนครสวรรค์ยังมีอีกมาก แต่ส่วนใหญ่ผังเมืองกำหนดให้เป็นที่ดินสีน้ำเงิน สงวนเพื่อเป็นหน่วยงานราชการ กิจการของรัฐที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น เป็นที่ดินของถาบันการศึกษาวัดศาสนสถาน ทหาร ฯลฯ แม้ว่าโดยหลักการหน่วยงานเจ้าของที่ดิน เช่น ราชพัสดุจะยินยอมให้ชาวบ้านเช่าเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย แต่ยังติดขัดเรื่องผังเมืองสีน้ำเงิน ต้องไปแก้ไขผังเมือง ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก และไม่มีหน่วยงานไหนอยากจะเป็นเจ้าภาพ “แต่การแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยคนจนในเมืองนครสวรรค์ก็จะต้องเดินหน้าต่อไป และที่ผ่านมาเครือข่ายบ้านมั่นคงนครสวรรค์ได้มีการพูดคุยกับทางเทศบาลว่าจะมีช่องทางไหน หรือมีกฎระเบียบอะไรที่เทศบาลสามารถนำออกมาใช้เพื่อให้ชาวบ้านอยู่อาศัยในที่ดินสีน้ำเงินได้ ซึ่งเรื่องนี้เราก็จะต้องผลักดันต่อไป” อร่ามศรีบอก อร่ามศรีบอกด้วยว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายได้ร่วมเสนอมติเข้าสู่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติปี 2559 เรื่อง ‘การจัดการและการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชน และเมืองเพื่อสุขภาวะ’ ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำมติไปขับเคลื่อนเพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังร่วมกับภาคเอกชน สถาบันการศึกษา เสนอรูปแบบ ‘บริษัทพัฒนาเมือง’ ที่นครสวรรค์ เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมือง ทั้งชุมชน เอกชน และประชาสังคม ไม่ใช่เฉพาะแต่ภาครัฐ เพื่อร่วมกันวางแผนว่าจะพัฒนาเมืองไปในทิศทางใด เป้าหมายเพื่อสร้างเมืองให้น่าอยู่ มีพื้นที่สีเขียว มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ประชาชนมีสุขภาวะที่ดี ทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการมีที่อยู่อาศัยสำหรับคนจนที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างเมือง สร้างเศรษฐกิจเพราะหากคนจนอยู่ในเมืองไม่ได้ หรือมีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก เมืองก็จะพัฒนาต่อไปไม่ได้ (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน, 2565: ออนไลน์) ดังนั้น การวิจัยในเรื่อง พุทธวิถีสู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของเครือข่ายชุมชนเมืองจังหวัดนครสวรรค์ นี้ ในภาวะโรคระบาคโควิด 19 ชุมชนเมืองจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมาก สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจในครัวเรือน ชุมชน ตลอดถึงคนในชุมชนนั้นจัดการตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยการเริ่มต้นที่ครอบครัว โรงเรียน (สถานศึกษา) วัด ชุมชน ที่สำคัญจะต้องดำเนินชีวิตตามนวัตกรรมพุทธวิถี บ้าน วัด โรงเรียนพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
จุดเด่นของโครงการ :การวิจัยแบบผสมผสาน ทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพ เพื่อคันห้านวัฒตกรรม พุทธวิถีการจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของชุมชนเมือง
วัตถุประสงค์ของโครงการ :1. เพื่อศึกษาพุทธวิถีสู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 2. เพื่อคันหานวัตกรรมพุทธวิถีสู่การจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 3. เพื่อนำเสนอชุมชนพุทธวิถีในการการจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์
ขอบเขตของโครงการ :40,958 คน เพศหญิง 45,745 คน ชุมชนในเขตเทศบาล (แยกตามเขต) รวม 71 ชุมชน ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุมชนเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 5 ชุมชน คือ 1) ชุมชนเจ้าแม่ศรีจันทร์ ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จำนวนประชากร 1,098 คน 281 ครัวเรือน 2) ชุมชนเขากบเอราวัณ ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จำนวนประชากร 807 คน 146 ครัวเรือน 3) ชุมชนวัดพุทธ ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จำนวนประชากร 1,025 คน 161 ครัวเรือน 4) ชุมชนหลวงปู่ท้าว ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จำนวนประชากร 489 คน 88 ครัวเรือน 5) ชุมชนพระบางมงคล ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จำนวนประชากร 1.121 คน 251 ครัวเรือนโดยวิธีการสุ่มแบบง่าย (เทศบาลนครนครสวรรค์, 2565: ออนไลน์) 2. ขอบเขตด้านเนื้อหา มุ่งศึกษาเกี่ยวกับ เรื่อง แนวคิดพุทธวิถีการจัดการตนเองอย่างยั่งยืนของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ โดยนำแนวคิดและทฤษฎีพุทธวิถี แนวคิดการจัดการตนเองอย่างยั่งยืน แนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายชุมชนเมือง 3. ขอบเขตด้านระยะเวลา โดยเริ่มจากที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติโครงการวิจัยและทำสัญญาวิจัย คือ เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 เดือน มกราคม พ.ศ.2565 จนถึงวันที่ 18 เดือน มกราคม พ.ศ.2566 รวมเป็นระยะเวลา 1 ปี 4. ขอบเขตด้านตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ศึกษาครอบคลุมเนื้อหาในเรื่องต่อไปนี้ ตัวแปรต้น ได้แก่ บ้าน วัด โรงเรียน (สถานศึกษา) ชุมชนเมือง ตัวแปรตาม ได้แก่ มีความรักความสามัคคี มีความช่วยเหลือเกื้อกูล ชุมชนเมืองน่าอยู่ สืบทอดวัฒนธรรมประเพณี ปลอดยาเสพย์ติด ปฏิบัติตามกฎ/ระเบียบการอยู่ร่วมกัน ผ่านกิจกรรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ /การอบรมเชิงปฏิบัติการ/ เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถอดบทเรียน
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :1. องค์ความรู้การจัดการตนเองอย่างยั่งยืนด้วยพุทธวิถี ของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 2. เครือข่ายพุทธวิถีชุมชนเมือง มีคุณภาพชีวิตที่ดี 3. บทความวิจัย 4. เป็นฐานข้อมูลทางวิชาการสำหรับนักวิชาการทั่วไป
การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ :แนวคิดเกี่ยวกับพุทธวิถี ความหมายของพุทธวิถี วิถีพุทธ คือ สัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ อริยสัจ 4 สามารถนิยาม วิถีพุทธ ได้ว่าคือ วิถีแห่งการประจักษ์แจ้งสัจจะ หรือ วิถีแห่งการทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งความจริงที่ต้องประจักษ์แจ้งหรือทำให้ปรากฏนั้น มีอยู่ 4 มิติหลักๆ คือ 1. ความจริงของทุกข์หรือปัญหาต่างๆ (ทุกขสัจจะ) เป็นความจริงที่เราต้องรู้หรือเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทุกข์หรือปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น คืออะไร มีขอบเขต และผลกระทบอย่างไร 2. ความจริงของสาเหตุแห่งทุกข์หรือปัญหาต่างๆ (สมุทัยสัจจะ) เป็นความจริงที่เราต้องรู้และแก้ไขให้ได้ หรือจัดการแก้สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาให้ได้ 3. ความจริงของความพ้นทุกข์หรือเปูาหมายของการแก้ปัญหา (นิโรธสัจจะ) เป็นความจริงที่เราต้องบรรลุถึง หรือทำให้เกิดความชัดเจนว่าเปูาหมายในการแก้ปัญหาคืออะไร ประโยชน์สุขที่แท้จริงที่เราต้องการคืออะไร 4. ความจริงของทางพ้นทุกข์หรือทางแก้ปัญหา (มัคคสัจจะ) เป็นความจริงของทางแก้ปัญหาที่เราต้องสร้างขึ้นและใช้ปฏิบัติเพื่อขจัดสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และบรรลุเป้าหมาย หรือประโยชน์สุขที่แท้จริง (ทาริตา แตงเส็ง และคณะ (2563: 244) วิถีพุทธ คือ หลักธรรมต่างๆ ที่เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เหมาะสมกับการจัดการชุมชนวิถีพุทธ ในแต่ละด้าน ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ (ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์) อธิบายได้ดงนี้ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ เป็นหลักธรรมในพุทธศาสนา คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน 4 อย่าง บ้างเรียกว่า หัวใจเศรษฐี "อุ อา กะ สะ" ขยันหา ขยันเก็บ เลือกคบ เลือกใช้) อาจเรียกสั้น ๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ (เนื่องจาก อัตถะ แปลว่า ประโยชน์อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีประโยชน์ ซ้ำซ้อนกันสองคำก็ได้) หรืออาจเรียกเต็ม ๆ ว่า ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 หมายถึง ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุขขั้นต้น เพื่อประโยชน์สุขสามัญที่มองเห็นกันในชาตินี้ ที่คนทั่วไปปรารถนา มี ทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นต้น อันจะสำเร็จด้วยธรรม 4 ประการ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), 2546: 12, อ้างถึงในทาริตา แตงเส็ง และคณะ, 2563: 245) คือ 1. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น เช่น ขยันหมั่นเพียร เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่อง อันเป็นอุบายในการงานนั้น ให้สามารถทำได้สำเร็จ 2. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์ (ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม) เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล ไม่ให้ถูกลัก หรือทำลายไปโดยภัยต่างๆ 3. กัลยาณมิตตตา คบคนดี ไม่คบคบชั่ว อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา 4. สมชีวิตา อยู่อย่างพอเพียง รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะไม่ให้สุรุ่ยสุร่ายฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ ด้านสังคม (หลักศีลธรรม) ชาวพุทธโดยแท้จะต้องรักษาศีล 5 เป็นสังคมวิถีพุทธ มีศีลเป็นแนวทางการปฏิบัติอยู่ร่วมกันไม่เบียดเบียนทำร้ายฆ่ากัน (ปานาติปาณา เวรมณี) ไม่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นที่ไม่ได้ ไม่ลักขโมยคดโกงเอาของผู้อื่น (อทินฺนาทานา เวรมณี) ไม่ผิดประเวณี (กาเมสุมิจฉาจารา เวรณี) ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ คำเพ้อเจ้อ คำส่อเสียด (มุสาวาทา เวรมณี) และไม่ดื่มสุราเมรัย ของมึนเมา (สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี) สังคม ชุมชนอยู่กันอย่างสงบสุข ด้วยพุทธวิธีนี้ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (อาวาสสัปปายะธรรม) อาวาสสัปปายะ หมายถึง วัดหรือศาสนสถานที่มีความเหมาะสมในการศึกษาและการ ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์และประชาชน รวมถึงการเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาสุขภาวะที่ดีของพระสงฆ์และประชาชน เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนได้เต็มที่ ซึ่งจะต้องมีความสบายดังนี้ 1) มีความสะอาด วัดจะต้องสะอาดไม่มีสิ่งไม่ชวนมองที่จะรบกวนจิตใจของผู้ปฏิบัติ ธรรม วัดจะต้องไม่มีกลิ่นเหม็นหรือหอมจนเกิดการรบกวนสมาธิของผู้ปฏิบัติธรรม เช่น กลิ่นขยะ กลิ่น น้ำเน่าเสีย กลิ่นอาหารจากโรงครัว เป็นต้น 2) มีแสงสว่างเหมาะสมกับการศึกษาปฏิบัติธรรม วัดควรจะมีการติดไฟฟ้าให้แสงสว่าง เพื่อการใช้ประโยชน์ทั้งในการอยู่อาศัย การสัญจร และการศึกษาปฏิบัติธรรม เพื่อให้บริการแก่ทั้ง พระสงฆ์และประชาชน 3) มีความสงบ วัดจะต้องปราศจากมลภาวะทางเสียง หรือถ้าจำเป็นต้องกระทำ กิจกรรมใดที่มีเสียงดังรบกวนก็จะต้องใช้เวลาไม่นานเกินไป และต้องไม่มีผู้คนพลุกพล่านวุ่นวาย รบกวนผู้ศึกษาปฏิบัติธรรม 4) มีความแข็งแรงปลอดภัย อาคารและสิ่งปลูกสร้างในบริเวณวัดจะต้องมีความมั่นคง แข็งแรง และมีความปลอดภัยต่อชีวิตและร่างกายของผู้ที่อยู่ในวัดและผู้เข้ามาประกอบกิจกรรมทั้ง ทางศาสนาและสังคม 5) มีอาคารสถานที่สำหรับการศึกษาและปฏิบัติธรรมให้แก่พระสงฆ์และประชาชนอย่าง เพียงพอและเหมาะสม และมีพื้นที่ประกอบกิจกรรมสาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน (ศิรดา ยะโอษฐ์, 2562: 205-206) ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม (หลักสังคหวัตถุธรรม) หลักสังคหวัตถุธรรมมีเป้าหมาย ดังนี้ เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติซึ่งการอยู่ร่วมกันในสังคมหรือในหมู่คณะ จำเป็นต้องมีสิ่งที่จะมายึดเหนี่ยวจิตใจและประสานหมู่คณะไว้ให้เกิดความสามัคคีและเพื่อให้ อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ได้แก่ หลักสังคหวัตถุธรรม ดังต่อไปนี้ 1) ทาน คือ การให้ปันสิ่งของตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ คือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสียสละ แบ่งปันเฉลี่ยให้ไม่ใช่ให้จนร่ารวยหรือให้จนหมดเนื้อหมดตัว แต่เป็นการแบ่งปันให้เพื่อแสดงอัธยาศัยไมตรี ผู้ให้ไม่จำเป็นต้องร่ำรวยหรือมีฐานะดีกว่าผู้รับเสมอไป และยังรวมถึงการช่วยเหลือสงเคราะห์ด้วยปัจจัยสี่ ทุนหรือทรัพย์สินสิ่งของตลอดจนให้ความรู้ความเข้าใจ 2) ปิยวาจา พูดอย่างรักกัน คือกล่าวคำสุภาพไพเราะน่าฟังชี้แจงแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์มีเหตุผลเป็นหลักฐานชักจูงในทางที่ดีงามหรือคำแสดงความเห็นอกเห็นใจให้กำลังใจรู้จักพูดให้เกิดความเข้าใจดีสมานสามัคคีเกิดไมตรีทำให้รักใคร่นับถือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มที่ได้จัดตั้งขึ้นมาจะมีการแบ่งหน้าที่กันและสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ คือฝ่ายประชาสัมพันธ์ หากฝ่ายประชาสัมพันธ์พูดจาไม่ดี ถึงโครงการหรือกิจกรรมจะดีแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะโน้มน้าวจิตใจของสมาชิกกลุ่มได้ 3) อัตถจริยา การทำประโยชน์ คือช่วยเหลือด้วยแรงกายและขวนขวายช่วยเหลือกิจการต่างๆ บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ทั้งช่วยแก้ไขปัญหาและช่วยปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นในด้านคุณธรรมจริยธรรมเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี 4) สมานัตตตา วางตนเสมอต้นเสมอปลายให้ความเสมอภาคปฏิบัติสม่ำเสมอกันต่อคนผู้ที่เป็นสมาชิกกลุ่ม และบุคคลทั่วไปไม่เอาเปรียบบุคคลที่ด้อยกว่า และเสมอในสุขทุกข์ คือร่วมสุขร่วมทุกข์ร่วมรับรู้ร่วมแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขร่วมกัน (พระพรหมคุณา ภรณ์(ป.อ.ปยุตโต, อ้างในวราภรณ์ บุตรนำชัย, 2559: 26-26) ธรรมะสำหรับการบริหารจัดการ 1. หลักธรรมาธิปไตย คือ การมีหลักยึดเป็นมาตรฐาน และดำเนินการตามหลักการอย่างมั่นคง 2. หลักพรหมวิหาร คือ การใช้ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา 3. การเลี่ยงความลำเอียงหรืออคติ 4. การเลี่ยงการทำงานที่มีโทษ เช่น เว้นจากการคบคนชั่วเป็นมิตร ผู้บริหารจัดการที่ดี ควรจะมีธรรมะที่เอื้อต่อการทำหน้าที่นั้นๆ ดังนี้ 1. ปัญญา ผู้นำจะต้องมีปัญญาที่เฉลียวฉลาด ไม่ว่าจะเป็นปัญญาจากการฟัง การคิด และการปฏิบัติ 2. การมีพลัง ผู้นำจะต้องมีพลังในด้านต่างๆ เช่น พลังกาย พลังปัญญา 3. ทศพิธราชธรรม คือ หลักธรรม 10 ประการสำหรับนักปกครอง ดังนี้ ทาน ศีล ปริจาคะ ความซื่อตรง ความอ่อนโยน สามารถสละกิเลส ความไม่โกรธ ความไม่เบียดเบียน ความอดทน และความมั่นคงในธรรม 4. ราชสังคหวัตถุ คือ ความสามารถประเภทต่างๆ ของผู้นำที่ดี เช่น ความฉลาดในการบำรุงผู้ใต้บังคับบัญชา ความมีวาจาน้ำใจ องค์การสังคมแนวพุทธ องค์การแนวพุทธจะอาศัยทั้งวัฒนธรรมพุทธและพุทธธรรม และจะเน้นหนักในด้านจิตใจมากกว่าวัตถุ อย่างไรก็ดี องค์กร ทั้งสองแบบ คือ ทางโลกและทางธรรม ต้องอาศัยกันและกัน องค์การที่ใช้ทั้งสองแนวทางจะเกิดผลดีมากกว่า การที่องค์การใดๆ จะมีความมั่นคงได้นั้น มีปัจจัย 7 ด้าน ดังนี้ 1. คุณภาพของสมาชิก 2. คุณธรรมของสมาชิก 3. ความสงบสุขของสมาชิก 4. คุณภาพของผู้บริหาร 5. คุณธรรมของผู้บริหาร 6. ความสงบสุขของผู้บริหาร 7. หลักการบริหารการนําองค์การปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้องค์การดำรงคงอยู่เป็นเวลานาน สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล คุ้มค่ากับทุนทรัพย์และแรงกายแรงใจที่ลงทุน (สัญญา สัญญาวิวัฒน์ และ ชาย สัญญาวิวัฒน์, 2550: 2) เมื่อองค์การมั่นคงแล้ว เราจะหยุดแค่นั้นไม่ได้ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรียกว่า การพัฒนาองค์การ สามารถทำได้ทั้งทางโลกและทางธรรม สำหรับการพัฒนาทางโลกนั้น มีวิธีการทำได้หลากหลายรูปแบบ เช่น Reengineering, Human Resource Development หรือ Knowledge Management แต่สำหรับการพัฒนาองค์การทางธรรม (Buddhist organization development) คือ การใช้หลักธรรมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาองค์การ ตัวแปรที่จะพัฒนานั้น ก็คือ องค์ประกอบหลักขององค์การนั่นเอง ได้แก่ 1. สมาชิกองค์การ ต้องส่งเสริมในด้านคุณภาพ คุณธรรม และความสุขของสมาชิก 2. ผู้นํา ต้องพัฒนาเช่นเดียวกันกับสมาชิก นั่นก็คือ ด้านคุณภาพ คุณธรรม และความสุข 3. หลักการบริหาร ต้องส่งเสริมหลักการบริหารจัดการที่ดี เมื่อการพัฒนาทางโลกผสมผสานกับการพัฒนาทางธรรม ย่อมทำให้องค์การนั้น เป็นองค์การที่มีสันติภาพ เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ มีความสามารถในการบริหารจัดการตนเองได้ รักษาความสมดุลของสิ่งแวดล้อม และเป็นองค์การที่มีจิตวิญญาณหรือมีจิตสํานึกชุมชนนั่นเอง (สัญญา สัญญาวิวัฒน์ และ ชาย สัญญาวิวัฒน์, 2550: 3) การจัดการทรัพยากรมนุษย์แนวพุทธ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ในทางโลกนั้น เป็นเรื่องการจัดการคนในองค์การ ซึ่งมุ่งกิจกรรมหลัก ดังนี้ การวางแผนด้านกําลังคน การคัดเลือกบุคคลเข้าสู่องค์การ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการรักษาคนดีมีฝีมือไว้ในองค์การ ในทางโลกมีทฤษฎีมากมายสำหรับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ถ้าองค์การใดนําหลักธรรมไปใช้ควบคู่กันด้วยแล้ว องค์การนั้นจะเกิดประโยชน์สูงสุด (สัญญา สัญญาวิวัฒน์ และ ชาย สัญญาวิวัฒน์ 2550: 3) 1. แนวทางการคัดเลือก สำหรับการคัดเลือกทางโลก กรรมการจะต้องยึดหลักคุณธรรม (Merit System) แต่ในทางศาสนานั้น จะต้องใช้หลักความไม่มีอคติควบคู่กันไปด้วย นั่นคือไม่ลำเอียงเพราะชอบ ชัง หลง และกลัว พร้อมกันนั้น ผู้ที่เข้ามาเป็นกรรมการคัดเลือก ควรเป็นคนรู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักความพอดี รู้จักเวลา รู้จักชุมชน และรู้จักความแตกต่างของบุคคล 2. แนวทางการพัฒนา การพัฒนาแนวพุทธจะเน้นย้ำในเรื่อง การเรียนรู้ตลอดเวลา หรือ (Life is education) ซึ่งจะกล่าวถึงในบทถัดไป 3. การเก็บรักษาคนดีไว้กับองค์การ นอกจากหลักทางโลก เช่น สวัสดิการ ความสามัคคีในองค์การ ฯลฯ ที่มุ่งให้บุคลากรอยู่กับองค์การแล้ว ทางพระพุทธศาสนานั้น มีหลักอปรหานียธรรม 7 ประการ ที่ส่งเสริมการรักษาคนดีไว้กับองค์การ ดังนี้ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์, มาประชุมกันพร้อมเพรียง, ไม่บัญญัติหลักใหม่ที่ขัดกับหลักเดิม, เคารพนับถือผู้ใหญ่, คุ้มครองสตรี,เคารพสิ่งสำคัญของชาติ และคุ้มครองผู้ทรงธรรม พุทธธรรมมีแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยความเชื่อที่ว่า ชีวิตคือ การศึกษา (Life is education) มีชีวิตอยู่ก็ต้องมีการศึกษาตลอดเวลา คนทุกคนที่เกิดมาต้องได้รับการพัฒนา เมื่อพัฒนาแล้วจึงจะถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐอย่างแท้จริง การพัฒนาแนวพุทธนั้นจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาทั้งคนและองค์การ บุคลากรพัฒนาเป็นคนดี มีคุณภาพ มีความสุข องค์การเข้มแข็ง การพัฒนาแนวพุทธนั้นจะมุ่งพัฒนาคนแบบองค์รวม คือ วิธีไตรสิกขา หรือ บทเรียน 3 เรื่องที่มนุษย์ต้องเรียนรู้และฝึกฝนให้เกิดความชํานาญ ดังนี้ 1. ศีลสิกขา หรือ การพัฒนากาย (ศีล) เป็นการเรียนรู้และฝึกทักษะเรื่องระเบียบวินัยของสังคม ทำให้กายและพฤติกรรมพัฒนา 2. สมาธิสิกขา หรือการพัฒนาจิต (สมาธิ) เป็นการเรียนรู้และฝึกทักษะทางด้านจิตใจ ทำให้จิตใจพัฒนา จิตอยู่กับงานไม่ประมาท 3. ปัญญาสิกขา หรือการพัฒนาปัญญา สามารถทำได้โดย การคบหากับบัณฑิต การศึกษาหาความรู้ การคิดพิจารณา และการปฏิบัติตามความรู้ทฤษฎี (สัญญา สัญญาวิวัฒน์ และ ชาย สัญญาวิวัฒน์, 2550: 4) การจัดการความรู้เชิงพุทธ การจัดการความรู้ คือ การคัดเลือกหรือสร้าง แล้วแพร่กระจายความรู้เข้าไปในองค์การ เพื่อให้องค์การมีประสิทธิภาพในทางพุทธนั้น ความรู้ที่เหมาะสำหรับการจัดการความรู้บ่งได้ 3 ประเภท คือ 1. ความรู้ทั่วไป คลอบคลุมความรู้ในด้านต่างๆ เช่น ชีวิต ธรรมชาติ 2. ความรู้สำหรับสมาชิกองค์การ เช่น แนวทางสร้างปัญญา แนวทางสร้างความสุข และแนวทางการทำงานให้ประสบความสำเร็จ 3. ความรู้สำหรับองค์การ เช่น สังคหวัตถุ สารานิยธรรม พรหมวิหาร จักรวรรดิวัตร พละ ขั้นต่อไปคือการถ่ายทอดความรู้ ซึ่งควรประกอบไปด้วยกัลยาณมิตร และโยนิโส มนสิการ (การคิดเป็น) ทั้งสองสิ่งนี้ จะช่วยเสริมกันและกันให้การถ่ายทอดความรู้สำเร็จลุล่วงไปได้ (สัญญา สัญญาวิวัฒน์ และ ชาย สัญญาวิวัฒน์, 2550: 4) วัฒนธรรมองค์การแนวพุทธ วัฒนธรรมองค์การในกระแสหลัก ก็คือ วิถีของคนในองค์การนั้นๆ หากนําทั้งกระแสหลักและธรรมะมารวมกันแล้ว จะมีสาระสังเขปดังนี้ 1. ค่านิยม ในกระแสหลัก คือ สิ่งที่องค์การให้ความสำคัญ เช่น นโยบายขององค์การ เมื่อรวมกับค่านิยมแนวพุทธจะต้องให้ความสำคัญกับหลักธรรมคําสอนด้วย เช่น สันติธรรม สมาธิ ปัญญา ฯลฯ 2. ประเพณี ในกระแสหลัก คือ วัฒนธรรมทางปฏิบัติที่องค์การยึดถือเป็นแนวทาง ในทางพุทธนั้น องค์การควรสนับสนุนส่งเสริมประเพณีทางศาสนาด้วย เช่น การทำบุญสำนักงาน การอนุญาตให้พนักงานบวชเรียน 3. บุคลากร ในกระแสหลัก คือ สมาชิกองค์การโดยทั่วไป สำหรับในทางพุทธนั้น บุคลากรควรมีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม และนําธรรมะมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน เช่น คิดดี พูดดี ทำดี 4. เทคโนโลยี ในกระแสหลักนั้น แบ่งได้ 4 ประเภทคือ เทคโนโลยีทางวัตถุ เช่น คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีทางสังคม เช่น การวางนโยบาย เทคโนโลยีทางจิตวิทยา เช่น ภาวะผู้นํา และเทคโนโลยีทางจิตวิญญาณ ซึ่งเทคโนโลยีข้อนี้นั้น ในทางพุทธนั้น จะเรียกว่า พุทโธโลยี ได้แก่ ธรรมะด้านต่างๆ ที่จะช่วยให้การทำงานบรรลุเป้าหมาย 5. สภาพแวดล้อม แบ่งเป็นสภาพแวดล้อมภายใน เช่น การให้อภัยกัน และสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น การไม่ทำร้ายผู้อื่น (สัญญา สัญญาวิวัฒน์ และ ชาย สัญญาวิวัฒน์, 2550: 5) การจัดการชุมชนตามแนววิถีพุทธ ประเทศไทยนับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมาเป็นเวลานานกว่า 800 ปี ความเป็นพุทธมีความเข้มข้นตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ปัญหาสังคมในปัจจุบันที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาล หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษาหันกลับมาทบทวนแนวทางในการพัฒนาประเทศว่าจะเดินทางไปในทิศทางใด จึงจะเหมาะสมกับสังคมไทย การจัดการชุมชนตามวิธีพุทธนั้น ผู้เขียนขอจำแนกหลักในการจัดการชุมชนตามวิธีพุทธ ออกเป็น 5 ประเด็น คือ 1. การจัดการชุมชนบนวิถีแห่งความเป็นจริง คือ กระบวนการการจัดการชุมชนโดยอาศัยสภาพแวดล้อมในชุมชน มองเห็นซึ่งหลักการ กระบวนการ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน เพื่อเป็นหลักในการพัฒนาชุมชน 2. การจัดการชุมชนเพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิต คือ การดำเนินการ กิจกรรม โครงการต่างๆ ต้องเป็นการดำเนินการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนและเกิดประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนในการดำเนินชีวิต 3. การจัดการชุมชนบนพื้นฐานความถูกต้อง คือ การจัดการต่าง ๆ ต้องมีความถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของคนในชุมชน นอกจากนั้นชุมชนเองก็ด าเนินชีวิตบนพื้นฐานความถูกต้องด้วย 4. การจัดการชุมชนบนพื้นฐานความสบายใจ คือ การจัดการต่างๆในชุมชนนั้น ต้องให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบ ทั้งนี้เพื่อให้คนในชุมชนเกิดความสบายใจ และรู้ถึงการจัดการ การดำเนินโครงการ กิจกรรมต่าง ๆ อีกด้วย 5. การจัดการชุมชนบนพื้นฐานความความสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชน คือ ในการจัดการชุมชนนั้นไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจกรรม โครงการต่างๆ ต้องสร้างความสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชน ให้คนในชุมชนดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข (ทาริตา แตงเส็ง และคณะ, 2563: 249) เมื่อองค์การมั่นคงแล้ว เราจะหยุดแค่นั้นไม่ได้ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรียกว่า การพัฒนาองค์การ สามารถทำได้ทั้งทางโลกและทางธรรม สำหรับการพัฒนาทางโลกนั้น มีวิธีการทำได้หลากหลายรูปแบบ เช่น Reengineering, Human Resource Development หรือ Knowledge Management แต่สำหรับการพัฒนาองค์การทางธรรม (Buddhist organization development) คือ การใช้หลักธรรมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาองค์การ ตัวแปรที่จะพัฒนานั้น ก็คือ องค์ประกอบหลักขององค์การนั่นเอง ได้แก่ 1. สมาชิกองค์การ ต้องส่งเสริมในด้านคุณภาพ คุณธรรม และความสุขของสมาชิก 2. ผู้นํา ต้องพัฒนาเช่นเดียวกันกับสมาชิก นั่นก็คือ ด้านคุณภาพ คุณธรรม และความสุข 3. หลักการบริหาร ต้องส่งเสริมหลักการบริหารจัดการที่ดี เมื่อการพัฒนาทางโลกผสมผสานกับการพัฒนาทางธรรม ย่อมทำให้องค์การนั้น เป็นองค์การที่มีสันติภาพ เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ มีความสามารถในการบริหารจัดการตนเองได้ รักษาความสมดุลของสิ่งแวดล้อม และเป็นองค์การที่มีจิตวิญญาณหรือมีจิตสํานึกชุมชนนั่นเอง (สัญญา สัญญาวิวัฒน์ และ ชาย สัญญาวิวัฒน์, 2550: 3) สรุป พุทธวิถี หมายถึง แนวทางการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือหลักธรรมต่างๆ ในพระพุทธศาสนา ชาวพุทธจะมีการดำเนินชีวิตในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ มีหลัก ทิฏฐธัมมิกัตถะ ธรรมที่ให้ประโยชน์ในปัจจุบัน ด้านสังคม ชาวพุทธจะต้องมีศีล 5 สังคมพัฒนาพุทธที่พัฒนาแล้ว ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรียกว่า อาวาสสัปปายะ ได้แก่ 1) มีความสะอาด วัดจะต้องสะอาด 2) มีแสงสว่างเหมาะสมกับการศึกษาปฏิบัติ 3) มีความสงบ 4) มีความแข็งแรงปลอดภัย 5) มีอาคารสถานที่สำหรับการศึกษาและปฏิบัติธรรม ด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม วัฒนธรรมองค์การคือ วิถีของคนในองค์การนั้นๆ หากนําทั้งหลักธรรมะมาส่งเสริมให้เกิด 1) ค่านิยม เช่น สันติธรรม สมาธิ ปัญญา ฯลฯ 2) ประเพณี เช่น การทำบุญสำนักงาน การอนุญาตให้พนักงานบวชเรียน 3) บุคลากร เช่น คิดดี พูดดี ทำดี 4) เทคโนโลยี แบ่งได้ 4 ประเภทคือ เทคโนโลยีทางวัตถุ เช่น คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีทางสังคม เช่น การวางนโยบาย เทคโนโลยีทางจิตวิทยา เช่น ภาวะผู้นํา และเทคโนโลยีทางจิตวิญญาณ จะเรียกว่า พุทโธโลยี ได้แก่ ธรรมะด้านต่างๆ 5) สภาพแวดล้อม แบ่งเป็นสภาพแวดล้อมภายใน องค์การสังคมแนวพุทธ จะมีความมั่นคงได้มีอาศัยปัจจัย 7 ด้าน คือ 1) คุณภาพของสมาชิก 2) คุณธรรมของสมาชิก 3) ความสงบสุขของสมาชิก 4) คุณภาพของผู้บริหาร 5) คุณธรรมของผู้บริหาร 6) ความสงบสุขของผู้บริหาร 7) หลักการบริหารการนําองค์การ ซึ่งมีหลักการจัดการทรัพยากรมนุษย์แนวพุทธ ควรนําหลักธรรมไปใช้ควบคู่กันด้วยแล้ว องค์การนั้นจะเกิดประโยชน์สูงสุด หลักสังคหวัตถุธรรม ธรรมะสำหรับการบริหารจัดการที่สำคัญ คือ 1) หลักธรรมาธิปไตย 2) หลักพรหมวิหาร 3) การเลี่ยงความลำเอียงหรืออคติ 4) การเลี่ยงการทำงานที่มีโทษ ผู้บริหารจัดการที่ดี ควรจะมีธรรมะที่เอื้อต่อการทำหน้าที่ ได้แก่ มีพลังกาย พลังปัญญา ทศพิธราชธรรม และสังคหวัตถุ ดังนั้น การจัดการความรู้เชิงพุทธ ทำให้องค์การมีประสิทธิภาพนั้น ความรู้ที่เหมาะสำหรับการจัดการความรู้บ่งได้ 3 ประเภท คือ 1) ความรู้ทั่วไป คลอบคลุมความรู้ในด้านต่างๆ เช่น ชีวิต ธรรมชาติ 2) ความรู้สำหรับสมาชิกองค์การ เช่น แนวทางสร้างปัญญา แนวทางสร้างความสุข และแนวทางการทำงานให้ประสบความสำเร็จ 3) ความรู้สำหรับองค์การ เช่น สังคหวัตถุ สารานิยธรรม พรหมวิหาร จักรวรรดิวัตร พละ เป็นพุทธวิถีในพระพุทธศาสนาอันหล่อหลอมวิถีชีวิตของชาวพุทธให้อยู่ร่วมกันในชุมชน สังคมอย่างสงบสุข แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการตนเองอย่างยั่งยืน การจัดการตนเอง เป็นแนวคิดที่สามารถจัดการกับปัญหาตนเอง ปัญหาชุมชนได้ และ สามารถจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน มีความเป็นอิสระทั้งความคิด การแสดงออก และองค์ความรู้ ที่ถูกถ่ายทอด โดยถ่ายทอดมาในรูปของภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือ ประสบการณ์ของชุมชนเอง ซึ่งอาจแสดงออกมาในรูปของแผนงาน โครงการของชุมชน (สุภาวดี เพชรชนะ, 2558: 7) ความหมายของการจัดการตนเองของชุมชน เดคเคอร์ (1982, อ้างถึงใน สุภาวดี เพชรชนะ, 2558: 7) ได้ให้ความหมายของการจัดการตนเองว่าต้องไม่ได้เกิดขึ้นจากการถูกควบคุมโดยกฎข้อบังคับที่ถูกกำหนดจากบนลงล่าง โดยภาครัฐแต่ให้ความสำคัญกับการกระทำกิจกรรมของสังคมที่เป็นชุมชนท้องถิ่น (Local Actions) และมีความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคม ที่จะนำไปสู่ระบบการสรรค์สร้างรูปแบบและโครงสร้างที่จัดระเบียบขึ้น คานเฟอร์ และ โกลด์สเตียน (1981, อ้างถึงใน สุภาวดี เพชรชนะ, 2558: 8) กล่าวว่า การจัดการตนเองต้องใช้ร่วมกันทั้ง กาย จิต และสังคม โดยใช้ปัญหาเป็นแรงผลักดันให้เกิดการระเบียบใหม่ โครงสร้างขององค์กรที่มีอยู่นั้นเป็นสิ่งชั่วคราว หากแต่จะมีผู้คนมารวมตัวกันและรวบรวมทรัพยากรเพื่อสร้างสรรค์โครงการใหม่ ๆ มาปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ และกระบวนการจัดการ Nakagawa-Kogan & Betrus (1984, อ้างถึงใน สุภาวดี เพชรชนะ, 2558: 7) กล่าวว่า การจัดการตนเองมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) การรู้คิด (Cognitive) ทฤษฎีกาย-จิต (Psychophysiological) ซึ่งหัวใจสำคัญของการจัดการตนเอง คือ หลักของทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม และทฤษฎีกาย-จิต เนื่องจากเชื่อว่าสามารถเรียนรู้ได้หากมีการเสริมแรงอย่างมีระบบขององค์กรและการปกครองในปัจจุบัน ให้สามารถร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่ต้องให้ใครมาวางแผนให้ ผู้นำปรากฏตัวขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าใครว่างอยู่ และใครมีข้อมูลที่พอเพียง ซึ่งจะบรรลุผลก่อนที่ภาครัฐจะเข้ามาดำเนินการ สุภาวดี เพชรชนะ, (2558: 8) การจัดการตนเองเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายและสังเกตง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องมีระบบที่ซับซ้อน สามารถจัดระเบียบแบบแผนได้ ซึ่งเกิดจากความสามารถในการจัดการตนเองของชุมชน และสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ระบบที่ซับซ้อนมากขึ้น อันจะนำไปสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็ง และยั่งยืนต่อไป การจัดการตนเองของชุมชนเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชนในยุคแห่งการปลดปล่อย (Liberation) ซึ่งเป็นยุคที่ให้อิสระกับประชาชนในการมีส่วนร่วมในการจัดการตนเองของชุมชนมากกว่ายุค ก่อนๆ โดยในยุคปลดปล่อยนี้ เน้นให้ประชาชนได้คิดตัดสินใจในทรัพยากรของชุมชน ดังนั้น การให้นิยาม ความหมายของการจัดการตนเองที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีความเชื่อพื้นฐานว่าตนเองนั้นสามารถจัดการตนได้ ซึ่งการจัดการตนเองเป็นรูปแบบของความสัมพันธ์ที่ถูกจัดขึ้นภายใต้กฎเกณฑ์ของตนเอง โดยไม่ได้ถูก กำหนดมาจากภายนอกแต่ถูกสร้างสรรค์จากภายในเอง การพัฒนาในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาในระดับมหภาค ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพา พึ่งพิงภายนอกเป็นส่วนใหญ่ เน้นการทำงานแบบแยกส่วน ทำให้ ชุมชนไม่สามารถที่จะช่วยเหลือหรือจัดการตนเองและชุมชนได้ ดังนั้น การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถที่จะพึ่งตนเองได้นั้น ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาชุมชนให้เกิดความยั่งยืน แต่การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นตามสิทธิชุมชนที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น การดูแลจัดการป่าหรือแพทย์พื้นบ้านล้วนยังไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง การจัดการตัวเองของชุมชนท้องถิ่นที่เราใช้ภูมิปัญญาแต่เดิมจะเริ่มถูกปิดกั้นแล้วก็จะมีกระบวนการจึงจัดการเชิงอำนาจจากภายนอกเข้ามามากขึ้น ดังนั้น การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นไม่ได้เบ็ดเสร็จทั้งหมด ไม่เน้นกระบวนการชุมชนเข้มแข็งหรือ พึ่งตนเอง แต่เน้นการรับบริการรับการสงเคราะห์ อีกนัยหนึ่ง หากชุมชนจัดการเบ็ดเสร็จ ใช้ทรัพยากร งบประมาณในการบริหารจัดการชุมชน ชุมชนท้องถิ่นน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ชุมชนบางแห่งมีปัญหาและ พยายามคลี่คลายปัญหาและพยายามสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาได้ หากถอยห่างวิธีคิดเงินเป็นตัวตั้ง กําไร และผลประโยชน์ หรือการแปรวัฒนธรรมภูมิปัญญาเป็นสินค้า แล้วสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง การทำลาย บั่นทอนธรรมชาติ ทำลายศักดิ์ศรีมนุษย์ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาก็จะลดลง (นภาภรณ์ หะวานนท์ และคณะ, 2550, อ้างในศรายุทธ คชพงศ์, บุญโชค บุญมี, ธนัสถา โรจนตระกูล, 2563: 193) การจัดการชุมชนว่าเป็นการส่งเสริมให้คนในชุมชนมีความสามารถในการจัดการตนเองและชุมชน ได้ มีความสามารถในการวางแผนงานและโครงการ สามารถจัดกระบวนการหรือเตรียมการ เพื่อดำเนินการ ตามแผนงานและโครงการได้ มีทักษะในการดำเนินการตามแผนและโครงการ และสามารถทำการประเมินผลงานได้ด้วยตนเอง หลักการจัดการชุมชน เป็นหลักการสำคัญที่สนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาชุมชนในการพัฒนาชุมชนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย การจัดการตนเองต้องไม่ได้เกิดขึ้นจากการถูกควบคุมจากกฎข้อบังคับที่ถูกกำหนดจากบนลงล่าง (Top-Down Rules) โดยภาครัฐ แต่ให้ความสำคัญกับการกระทำของสังคมที่เป็นชุมชนท้องถิ่น และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคม ที่นำไปสู่ระบบการ สรรค์สร้างรูปแบบและโครงสร้างที่จัดระเบียบขึ้นภายใต้การเปลี่ยนแปลงที่เป็นพลวัต (เดคเคอร์, อ้างใน สุภาวดี เพชรชนะ, 2558) การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นจึงเป็นผลมาจากการสังเคราะห์ในภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในด้านสังคมและวัฒนธรรมที่กล่าวมาข้างต้น จึงก่อให้เกิดกระบวนการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นในมิติ ต่างๆ 5 ด้าน (สุภาวดี เพชรชนะ, 2558: 197-199) ต่อไปนี้ 1. การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านแผนชุมชน เป็นการสร้างอำนาจชุมชนท้องถิ่นขึ้น เพื่อช่วยในการดูแลตัวเองโดยใช้ “แผนชุมชน” หรือบางพื้นที่ เรียกว่า “แผนแม่บทชุมชน” เป็นกลไกหลัก ในการขับเคลื่อนการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น โดยตัวอย่างชุมชนที่สามารถสร้างแผนชุมชนขึ้นมา เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับปัญหา จนนําไปสู่การสร้างโอกาสให้กับคนในชุมชน ซึ่งสามารถนํามาเป็น ต้นแบบในการพัฒนาชุมชนให้กับสังคม และประเทศชาติ อย่างเช่น ชุมชนในเขตอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก หรือชุมชนในเขตอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก 2. การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านการเกษตร เป็นการสร้างอำนาจจากฐานวิถีชีวิต ผ่านการประกอบอาชีพแบบดั้งเดิมของชุมชนท้องถิ่นเอง เพราะอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักของสังคมไทยมาโดยตลอด 3. การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากผลของการพัฒนาที่มีส่วนทำลายฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่น ส่วนหนึ่งก่อให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติอย่างรุนแรง จึงทำให้ก่อเกิดการรวมกลุ่มของภาคประชาชนขึ้น เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กลับคืนมา และเพื่อทำหน้าที่ในการรักษาฐานทรัพยากรของตนเองให้อยู่กับชุมชนท้องถิ่นนานที่สุด 4. การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านการเงินชุมชน อันเนื่องมาจากความยากจน และ การเข้าไม่ถึงแหล่งทุนของชุมชนท้องถิ่น ส่วนหนึ่งส่งผลให้เกิดวงจรที่เรียกว่า “จนซ้ำซาก” เมื่อภาครัฐไม่ได้ เข้ามาดูแล ซ้ำร้ายกลับพยายามผลักดันให้เป็นกลุ่มเถื่อน กองทุนเถื่อนเพราะไม่เชื่อฟังรัฐจากการให้ความช่วยเหลือกันเองด้วยการพยายามระดมทุนเงิน เพื่อสร้างแหล่งทุนให้เกิดขึ้นเองในชุมชนช่วยเหลือกันเอง ในชุมชนจนพัฒนาไปสู่ความกินดีอยู่ดี และมีศักดิ์ศรี ซึ่งการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านเศรษฐกิจ นั้น เป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจนมากที่สุดในชุมชนท้องถิ่นไทย ในรูปแบบขององค์กรการเงินชุมชนต่าง ๆ 5. การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเวลานานมาแล้วที่ชุมชน ท้องถิ่นไทยได้ดูแลรักษาสุขภาพด้วยตนเอง มีการปลูกผักสมุนไพรหลายชนิดเอาไว้บริเวณบ้าน รั้วบ้าน มีวิถี ชีวิตการผลิตเพื่อยังชีพเป็นหลัก หากเหลือก็นํามาจุนเจือแบ่งเป็นแลกเปลี่ยนกันจนกระทั่งเกิดระบบ เศรษฐกิจแบบใหม่ที่มุ่งแสวงหากำไรอย่างสุดโต่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “เศรษฐกิจทุนนิยม” เพราะเป็น ระบบเศรษฐกิจที่มุ่งแสวงหากําไรที่สามารถตีค่าทุกอย่างออกมาเป็นตัวเงินได้หมด แม้แต่น้ำใจความ ช่วยเหลือ เอื้ออาทรต่อกัน ก็สามารถคิดเป็นเงินได้หมด ทำให้เกิดค่านิยมที่เห็นแก้ตัว เพราะต้องการ “เงิน” เพื่อเป็นเครื่องแสดงออกที่ทำให้เห็นว่ามีฐานะทางสังคม แนวทางการจัดการตนเองของชุมชน ได้เป็น 5 มิติ (โกวิทย์ พวงงาม, 2553, อ้างถึงใน สุภาวดี เพชรชนะ, 2558: 10) ดังนี้ 1. มิติด้านแผนชุมชน ที่ใช้เป็นเครื่องสำคัญในการเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการพัฒนาของชุมชน โดยแผนชุมชนนั้นเป็นการพัฒนาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมในทุกด้าน 2. มิติด้านการเกษตร เป็นการสร้างอำนาจโดยการรวมกลุ่มองค์กรชุมชนเป็นภาคประชาสังคมที่เกิดจากการเรียนรู้ประสบการณ์ และการจัดการกับปัญหาของชุมชน 3. มิติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นการดำเนินงานรูปแบบของกลุ่มอนุรักษ์ เพื่อรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน 4. มิติด้านการเงินชุมชน โดยการสร้างแหล่งเงินทุนของชุมชนขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการเงินภายในชุมชน ลดปัญหาความยากจน และแก้ไขปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ให้สามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 5. มิติด้านเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้ศักยภาพ และความสามารถของชุมชนในการดำเนินชีวิต โดยไม่คล้อยไปตาม แนวทางขับเคลื่อนการดำเนินงานของชุมชน ที่ถือว่าเป็นฐานของการจัดการตนเองของชุมชนที่สำคัญ คือ (สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, 2557, อ้างถึงในสุภาวดี เพชรชนะ, 2558: 9-10) 1. การเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดเพราะการเรียนรู้จะนำไปสู่ความตระหนักถึงปัญหาที่ชุมชนประสบอยู่และสามารถแก้ไขได้ด้วยพลังของคนในชุมชนเอง การเรียนรู้จึงเป็นการเพิ่มอำนาจ (empowerment) ให้แก่คนในชุมชนโดยตรง ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่มีทั้งรูปแบบการอบรมอย่างเป็นทางการและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านเวทีพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการภายในชุมชน เพื่อค้นหาปัญหาและความต้องการจริง ๆ ของชุมชนเองแล้วหาแนวทางการทำงานที่จะจัดการปัญหาที่เหมาะสมร่วมกัน 2. เวทีประชาคม เป็นเครื่องมือสำคัญในกระบวนการตัดสินใจและกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาชุมชนจึงควรมีการทำประชาคมกันอย่างสม่ำเสมอ 1-2 ครั้ง/เดือน เพื่อการพูดคุย ที่ไม่เป็นทางการทุกคนมีโอกาสได้พูดและรับฟังเสียงของทุกคนเพื่อร่วมมือกันในการหาทางแก้ไขปัญหา 3. การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน การมีส่วนร่วมเป็นรากฐานสำคัญที่จะยอมรับว่าแต่ละคนในชุมชนมีสิ่งที่มีความสำคัญที่จะให้และเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมได้ การที่มีส่วนร่วมก็เพราะตระหนักว่าเขามีสิ่งที่จะให้แก่ส่วนรวมไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กน้อยหรือสำคัญมากน้อยเพียงใดก็ตามซึ่งเกิดจากการได้เรียนรู้จนเข้าใจปัญหาและเป้าหมายของชุมชนทำให้อยากมีส่วนร่วมในการจัดการกับปัญหานั้น ๆ 4. พลังสามัคคีและความผูกพันกันของคนในชุมชน ความสามัคคีเกิดจากความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชุมน ทั้งความสัมพันธ์แนวดิ่งเช่น แบบเครือญาติตามลำดับอาวุโส และแบบอุปถัมภ์กับความสัมพันธ์แนวราบเป็นความสัมพันธ์บนฐานความเสมอภาคมีความสนใจหรือผลประโยชน์ร่วมกันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเอื้อต่อการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ แต่หากแม้มีฐานของความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างต่างกันก็ไม่ประสบปัญหาในการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ 5. ภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำเป็นปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการจัดการชุมชนท้องถิ่นทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการผู้นำมีบทบาทสำคัญมากในการขับเคลื่อนคนและงานไปสู่เป้าหมายด้วยการทำงานหนักโปร่งใสมีวิสัยทัศน์เป็นธรรมและมีความอดทนสูง ปัจจัยที่ส่งผลให้ชุมชนสามารถจัดการตนเองและเป็นชุมชนเข้มแข็งพึ่งตนเองได้ ด้วยแนวทางการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น (โกวิทย์ พวงงาม, 2553, อ้างถึงใน สุภาวดี เพชรชนะ, 2558: 11) ประกอบด้วย 1. กลไกหลักในการจัดการตนเองของชุมชนและท้องถิ่น 3 กลไกหลัก ได้แก่ แกนนำและอาสาสมัคร สมาชิกกลุ่ม สภาผู้นำและกรรมการ 2. หลักการที่ใช้ในการจัดการตนเอง 6 หลักการ ได้แก่ หลักความเป็นประชาธิปไตยชุมชน หลักการจัดการที่มีความยืดหยุ่นสูง หลักการทำอะไรทำทันที หลักการเชื่อมโยงกิจกรรมให้เป็นการพัฒนาแบบองค์รวม หลักการกระจายความรับผิดชอบ และมีอิสระทางความคิดและหลักการใช้ทุนที่มีอยู่ในชุมชน 3. กระบวนการที่ใช้ในการจัดการตนเอง 6 กระบวนการ ได้แก่ กระบวนการกลุ่มที่เข้มแข็งและต่อเนื่อง กระบวนการตรวจสอบโดยเครือข่ายที่มีอยู่ในชุมชน กระบวนการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง กระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง กระบวนการปรับเปลี่ยนแนวคิดชุมชนและกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน 4. เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการตนเอง 7 เครื่องมือ ได้แก่ ศีล 5, ระบบเครือญาติ, คุ้มบ้าน โซนบ้าน กลุ่มบ้าน ละแวกบ้าน, แผนชุมชน, กลุ่ม/องค์กรชุมชน หรือเครือข่ายชุมชน, กฎ ระเบียบ กติกาที่ชัดเจน ข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล กล่าวโดยสรุป การจัดการตนเองของชุมชน เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาชุมชนเพื่อให้พึ่งตนเอง ชุมชนจะต้องมีส่วนร่วมเป็นสำคัญในการจัดการตนเอง องค์ประกอบของการจัดการตนเอง บุคคลที่มีทักษะการจัดการตนเองที่ดีและมีประสิทธิภาพ จะมีลักษณะ 1. พัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเอง 2. สามารถบริหารจัดการเวลาของตนเองอย่าง มีประสิทธิภาพ 3. มีความมั่นคงทางอารมณ์ 4. สามารถปรับปรุงแรงจูงใจและ ลักษณะนิสัยของตนเอง 5. มีความสามารถในการสื่อสารและมีสัมพันธภาพที่ดีกับ บุคคลอื่น และ 6. มีความรู้สึกหรือเจตคติเชิงบวก มีความเป็นอิสระ และมีความสุข มากขึ้น (Berger, 2000) อ้างถึงในกรรณิการ์ แสนสุภา และ นเรศ กันธะวงค์. (2564) สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต (2556) อ้างถึงในกรรณิการ์ แสนสุภา และ นเรศ กันธะวงค์. (2564: 29) ได้กล่าวว่า องค์ประกอบของการจัดการตนเองมี 4 ด้าน คือ 1. การตระหนักในตน (Self-awareness) 2. การรับรู้ความสามารถของตน (Self-efficacy) 3. การกำกับตนเอง (Self-monitoring) และ 4. การปรับพฤติกรรม (Behavior modification) แคนเฟอร์ และกาลิค บายส์ (Kanfer & Gaelick-Buys 1991) อ้างถึงในกรรณิการ์ แสนสุภา และ นเรศ กันธะวงค์. (2564: 30) ได้เสนอแนวคิดการจัดการตนเอง ที่เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่ 1. การตั้ง เป้าหมาย (Goal setting) 2. การกำกับตนเอง (Self-monitoring) 3. การประมาณ ตนเอง (Self-evaluation) และ 4. การให้แรงเสริมตนเอง (Self-reinforcement) Ceer (2000) อ้างถึงในกรรณิการ์ แสนสุภา และ นเรศ กันธะวงค์. (2564: 30) ได้เสนอแนวคิดการจัดการตนเองประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การตั้งเป้าหมาย (Goal setting) 2. การรวบรวมและประมวลข้อมูล (Information collection) 3. การประมวลและการประเมินผล (Information processing and evaluation) 4. การตัดสินใจ (Decision making) 5. การลงมือปฏิบัติ (Action) และ 6. การสะท้อนการปฏิบัติ (Self-reaction) Gerhardt (2010, อ้างถึงในกรรณิการ์ แสนสุภา และ นเรศ กันธะวงค์. 2564: 30-31) ได้สรุปขั้นตอนของการจัดการตนเองไว้ 4 ขั้น ได้แก่ การประเมินตนเอง (Self-assessment) การตั้งเป้าหมาย (Goal setting) การกำกับตนเอง (Self-monitoring) และการประมาณตนเอง (Self- evaluation) โดยในแต่ละขั้นตอนมีกระบวนการดังนี้ 1. การประเมินตนเอง (Self-assessment) เป็นการที่บุคคลทบทวน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตนเองเพื่อการค้นพบปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างตนเองกับ เป้าหมายที่ต้องการบรรลุ 2. การตั้งเป้าหมาย (Goal setting) เป็นทักษะในการกำหนดเป้าหมาย ที่ชัดเจนภายใต้การประเมินความเป็นไปได้ สู่การปฏิบัติตามขอบเขตและความ สามารถในตนเอง 3. การกำกับตนเอง (Self-monitoring) เป็นการที่บุคคลตรวจสอบ และควบคุมตนเองได้อย่างรอบด้านทั้งด้านปัจจัยส่วนบุคคล ด้านเวลาและสภาพ แวดล้อมที่เป็นส่วนสำคัญในการนำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย รวมไปถึงการสำรวจ ปัญหาอุปสรรคที่ขัดขวางต่อการมุ่งสู่ความสำเร็จ 4. การประมาณตนเอง (Self-evaluation) เป็นขั้นตอนภายหลังจาก ที่บุคคลจัดการตนเองในด้านต่าง ๆ แล้ว ซึ่งเป็นการประเมินตนเอง ว่าเป็นไปตามที่ตั้ง เป้าหมายไว้หรือไม่การประเมินตนเองอาจเกิดขึ้นเป็นระยะและมีการปรับเปลี่ยน วิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ จากการศึกษาถึงขั้นตอนของการจัดการตนเอง สรุปได้ว่า บุคคลจะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมีขั้นตอนของการจัดการตนเองที่ชัดเจนและต้องมีการประเมินผลของการกระทำเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สรุป แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการตนเองอย่างยืน เบื้องต้นจะต้องการจัดการตนเองในชีวิตประจำวัน ระดับตนเอง ครอบครัว และชุมชน ในระดับชุมชนนั้นจะต้องจัดการในด้าน 1) มิติด้านแผนชุมชน 2) มิติด้านการเกษตร 3) มิติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4) มิติด้านการเงินชุมชน 5) มิติด้านเศรษฐกิจพอเพียง และขับเคลื่อนการดำเนินงานของชุมชน ด้วย 1) การเรียนรู้ 2) เวทีประชาคม 3) การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน 4) พลังสามัคคีและความผูกพันกันของคนในชุมชน 5) ภาวะผู้นำ การจัดการตนเองของชุมชน เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาชุมชนเพื่อให้พึ่งตนเอง ชุมชนจะต้องมีส่วนร่วมเป็นสำคัญในการจัดการตนเอง ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญ คือ 1) การรู้จักตนเองในทุกด้าน และรู้จักประมาณ 2) การตั้งเป้าหมาย การวางแผน 3) การลงมือปฏิบัติ 4) ประเมินผล และการสะท้อนการปฏิบัติ การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นไม่ได้เบ็ดเสร็จทั้งหมด ไม่เน้นกระบวนการชุมชนเข้มแข็งหรือ พึ่งตนเอง แต่เน้นการรับบริการรับการสงเคราะห์ อีกนัยหนึ่ง หากชุมชนจัดการเบ็ดเสร็จ ใช้ทรัพยากร งบประมาณในการบริหารจัดการชุมชน ชุมชนท้องถิ่นน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ชุมชนบางแห่งมีปัญหาและ พยายามคลี่คลายปัญหาและพยายามสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาได้ หากถอยห่างวิธีคิดเงินเป็นตัวตั้ง กําไร และผลประโยชน์ หรือการแปรวัฒนธรรมภูมิปัญญาเป็นสินค้า แล้วสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง การทำลาย บั่นทอนธรรมชาติ ทำลายศักดิ์ศรีมนุษย์ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาก็จะลดลง ดังนั้น การจัดการตนเองของชุมชน เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาชุมชนเพื่อให้พึ่งตนเอง ชุมชนจะต้องมีส่วนร่วมเป็นสำคัญในการจัดการตนเอง แนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายชุมชมเมือง ความหมายของเครือข่าย Alter และ Hage, (1993, อ้างถึงใน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), 2560: 9) กล่าวว่าเครือข่าย (Network) คือ รูปแบบทางสังคมที่เปิดโอกาสให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์กร เพื่อแลกเปลี่ยนการสร้างความเป็นอัน หนึ่งอันเดียว และการร่วมกันทำงานเครือข่ายประกอบด้วยองค์กรจำนวนหนึ่งซึ่งมีอาณาเขตที่แน่นอนหรือไม่ก็ได้และองค์กรเหล่านี้มีฐานะเท่าเทียมกัน. Bruce, Steve; and Yearley, Steven , (2006, อ้างถึงใน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), 2560: 9) ให้นิยามว่า เครือข่ายทางสังคมคือรูปแบบ ความสัมพันธ์ทางสังคม (Pattern of Social Relationship) ของปัจเจกชน (Individual)ซึ่งนักสังคม วิทยาถือว่า เป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) ในการศึกษา และใช้วิธีศึกษาโดยการสังเกต (Observation) ก่อนจะเขียนออกมาเป็นแผนที่ปฏิสัมพันธ์ (Interaction Mapping) กรมการพัฒนาชุมชน, (2547, อ้างถึงใน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), 2560: 12) ได้อธิบายแนวความคิดเกี่ยวกับเครือข่ายไว้ว่า “เครือข่าย” มีความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับนานาชาติ ผู้คนพูดถึงเครือข่ายของหน่วยงานการพัฒนาวิจัย ธุรกิจและในสาขาวิชาชีพต่างๆ ปัจจุบันเครือข่ายทำงานอย่างไร ทำไมบางเครือข่ายประสบความสำเร็จ บางเครือข่ายไม่ประสบความสำเร็จ เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ คนในชุมชนและองค์กรชุมชนควรเป็นอย่างไร เครือข่ายเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วจะทำหน้าที่อย่างไร ชุมชนจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ล้วนแต่เป็นคำถามที่ยังต้องการกระบวนการค้นหาคำตอบอีกมาก ในทางสังคมวิทยาเครือข่ายเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างหนึ่งที่แตกต่างไปจากกลุ่มโดยที่กลุ่มจะมีขอบเขตที่ชัดเจน รู้ว่าใครเป็นสมาชิก ใครไม่ใช่สมาชิก มีความเป็นรูปธรรม มองเห็นได้มีโครงสร้างทางสังคมในระดับหนึ่ง แต่เครือข่าย เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่มีขอบเขต การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกเครือข่ายอาจจะมองเห็นรูปธรรมของเครือข่ายมี 3 ลักษณะคือ เครือข่ายการแลกเปลี่ยน เครือข่ายการติดต่อสื่อสาร และเครือข่ายความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกัน เครือข่ายไม่มีโครงสร้างที่แน่นอนตายตัว อาจมีการออกแบบโครงสร้างขึ้นมาทำหน้าที่สานความสัมพันธ์ระหว่างคน/กลุ่มองค์กรให้ต่อเนื่อง แต่ในเครือข่ายไม่มีใครบังคับให้ใครกระทำอะไรได้ แต่ละคน/กลุ่มองค์กรต่างก็เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายได้พอๆ กัน พระมหาสุทิตย์ อาภากโร, (2547, อ้างถึงใน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), 2560: 11) ได้อธิบายแนวความคิดเกี่ยวกับเครือข่ายไว้ว่า เป็นความสัมพันธ์เชิงกระบวนระบบ หากกล่าวถึง การปฏิบัติตามหน้าที่ต่อสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้องของบุคคลและสรรพสิ่งที่ได้รับการสมมติขึ้นตามฐานะและบทบาทที่เป็นอยู่ว่า เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรมในทัศนะของพุทธศาสนาแล้ว การดำรงอยู่และการทำหน้าที่ของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ ก็จัดเป็นการสร้างความสัมพันธ์เชิงกระบวนระบบที่มีต่อกัน ซึ่งเป็นปฏิกิริยาสัมพันธ์ที่มีความเลื่อนไหลไปมาระหว่างสิ่งต่างๆ แล้วสร้างกระบวนการที่ต่อเนื่องจนเกิดเป็นเครือข่ายและระบบที่ผูกพันความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่เป็นกระบวนระบบนั้น คือคุณสมบัติภายในที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง รูปทรงของสิ่งต่างๆ มิใช่โครงสร้างที่แข็งทื่อตายตัว หากแต่แสดงออกถึงกระบวนการภายในที่ยืดหยุ่นแต่มีเสถียรภาพ ตัวอย่างเช่น เซลล์ในร่างกายของมนุษย์ที่มีความเลื่อนไหล และยืดหยุ่นต่อกระบวนการและมีการเปิดรับสิ่งต่างๆ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ และมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่จะต้องอาศัยความยืดหยุ่น และการยอมรับจากฝ่ายต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ลงตัวมากที่สุด เช่น เครือข่ายประชาสังคม ที่มาจากกลุ่มคนที่หลากหลายอาชีพ หลากหลายความคิดเห็น และมาทำงานร่วมกัน ซึ่งจะได้มุมมอง วิธีคิด และกระบวนการทำงานที่หลากหลายและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เสรี พงษ์พิศ, (2548 อ้างถึงใน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), 2560: 11) ให้คำนิยามของ “เครือข่าย” ไว้ว่า เป็นการรวมกลุ่มของบุคคลในชุมชนระหว่างชุมชน กลุ่มกับกลุ่ม ชุมชนกับชุมชน โดยมีหลักยึดตามขอบเขตพื้นที่ ประเด็นเนื้อหาและกระบวนการเรียนรู้เป็นหนึ่งเดียว กระบวนการดังกล่าวเกิดจากท้องถิ่น เหมาะสมกับท้องถิ่นที่จะช่วยให้บุคคลและชุมชนสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน การปฏิบัติ แบบอย่างของผู้รู้ การอบรมสั่งสอนในบริบททางสังคม คมนาคม แบบการติดต่อที่สะดวกยิ่งขึ้นทำให้การไปมาหาสู่ดูงาน การร่วมกันทำข้ามเขตแดนของชุมชน อำเภอ จังหวัดและภาคเป็นไปได้ง่าย กาญจนา แก้วเทพ, (2538, อ้างถึงใน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), 2560: 9) ได้ให้ความหมายว่า “เครือข่าย” หมายถึง รูปแบบหนึ่งของการประสานงานของบุคคล กลุ่ม หรือองค์กรหลายๆ องค์กรที่ต่างมีทรัพยากรของตนเอง มีเป้าหมายมีวิธีการทำงาน และกลุ่มเป้าหมายของตนเอง บุคคลหรือกลุ่มเหล่านี้ได้มาประสานงานกันมีระยะเวลานานพอสมควร แม้อาจจะไม่มีกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอก็ตาม แต่ก็มีการวางรากฐานเอาไว้เปรียบเสมือนมีการต่อายโทรศัพท์เอาไว้ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความต้องการที่จะขอความช่วยเหลือหรือขอความร่วมมือจากกลุ่มอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหา ก็สามารถติดต่อไปได้ในการเข้าร่วมเป็นองค์กรเครือข่าย แม้ว่าองค์กรเหล่านี้จะมีบางอย่างร่วมกัน เช่น มีเป้าหมายร่วมกัน มีประโยชน์ร่วมกัน องค์กรเหล่านี้ก็ยังคงความเป็นเอกเทศอยู่ เพราะการเข้าร่วมเป็นเครือข่ายเป็นการเข้าร่วมเพียงบางส่วนขององค์กรเท่านั้น เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, (2545, อ้างถึงใน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), 2560: 9) กล่าวว่า “เครือข่าย” หมายถึง การที่ปัจเจกบุคคลองค์กร หน่วยงานหรือสถาบันใดๆ ได้ตกลงที่จะประสานเชื่อมโยงเข้าหากัน ภายใต้วัตถุประสงค์หรือข้อตกลง อย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกันอย่างเป็นระบบ ยังมีความเห็นอีกว่า การเชื่อมโยงเข้าหากันเป็น เครือข่าย ไม่ใช่การรวมกลุ่มของสมาชิกที่มีความสนใจเพียงต้องการพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือร่วมสังสรรค์กันเท่านั้น แต่มันหมายถึงความต้องการที่จะพัฒนาไปสู่การลงมือกระท ากิจกรรมร่วมกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), (2560: 8) เครือข่ายความร่วมมือ หมายถึง กลุ่มของหน่วยงานที่มีการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ เป็นการบริหารที่มีบุคคลหลายๆ ส่วนร่วมกันรับผิดชอบ โดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารจัดการ เนื่องจากกระบวนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุน และส่งเสริม เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายอย่างมีประสิทธิภาพ นฤมล นิราทร, (2551 อ้างถึงใน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), 2560: 10) ได้สรุปไว้ว่า เครือข่ายควรมีกลุ่มบุคคลหรือองค์กร ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มี ปฏิสัมพันธ์ที่ประสานกลุ่มหรือบุคคลเอาไว้สิ่งที่ได้จากการมีปฏิสัมพันธ์ก็คือ ข่าวสารข้อมูลในรูปแบบ ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มีการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน และมีความเป็นอิสระต่อกันและยังได้อธิบายแนวคิดและทฤษฎีการสร้างเครือข่ายในทฤษฎีการแลกเปลี่ยน (Exchange Theory) ซึ่งอธิบายถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน ดังนั้น เหตุผลหลักที่จะทำให้เครือข่ายเกิดขึ้นได้โดยสมัครใจก็คือ แต่ละฝ่ายมองเห็นประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากการเข้าร่วมเครือข่าย ซึ่งจะนำไปสู่ความเต็มใจที่จะประสานกัน หรือเข้า ร่วมเป็นเครือข่ายแนวคิดการรวมพลัง (Synergy) ซึ่งอธิบายด้วยสมการ 1+1 = 3 หรือ 2+2 = 5 หมายความว่า การรวมพลังการทำงานนำไปสู่ผลได้ที่มีค่าทวีคูณ หรือเข้มแข็งมากกว่าที่แต่ละองค์กรจะทำงานโดยโดดเดี่ยว ทั้งนี้ โดยความเชื่อว่าการรวมพลังจะก่อให้เกิดคุณค่าที่ทวีคูณ การเกิดขึ้นของเครือข่ายที่เราเห็นทั่วไปนี้ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ 1. เกิดขึ้นโดยธรรมชาติมาจากสายสัมพันธ์ทางเครือญาติหรือมีความเชื่อถืออย่างเดียวกันเป็นครูเป็นศิษย์สถาบันเดียวกัน ฯลฯ 2. เกิดขึ้นโดยการจัดตั้งเกิดขึ้นจากความพร้อม ความต้องการของผู้นำ และกลุ่มต่างๆ และการต่อรองขององค์กรภายนอก ฯลฯ การสร้างเครือข่าย เครือข่ายอาจเกิดขึ้นได้ทุกวัน เพราะขบวนการสร้างเครือข่ายอาจเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีธรรมชาติ หรือเกิดจากการจัดตั้ง ความยากง่ายในการจัดตั้งเครือข่ายมิได้เป็นเครื่องประกันความสำเร็จของเครือข่าย ทุกวันนี้ “เครือข่าย” เป็นสิ่งที่ผู้คนทั้งในงานพัฒนาและภาคธุรกิจ กล่าวถึง จนเหมือนกับเป็นแฟชั่นไปแล้ว แต่จะเป็นเครือข่ายจริงแท้ หรือว่าเรียกไปตามกระแส เราต้องพิจารณาองค์ประกอบและข้อคิดต่างๆ ก่อน กล่าวโดยสรุป เครือข่าย (Network) คือ รูปแบบทางสังคมที่เปิดโอกาสให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์กรความสัมพันธ์ทางสังคม (Pattern of Social Relationship) เป็นการรวมกลุ่มของบุคคลในชุมชนระหว่างชุมชน กลุ่มกับกลุ่ม ชุมชนกับชุมชน ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับนานาชาติ โดยมีหลักยึดตามขอบเขตพื้นที่ และองค์กรที่ต่างมีทรัพยากรของตนเอง มีเป้าหมายมีวิธีการทำงาน ภายใต้วัตถุประสงค์หรือข้อตกลง อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นความสัมพันธ์เชิงกระบวนระบบ เพื่อแลกเปลี่ยนการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และการร่วมกันทำงาน ให้เกิดการมีส่วนร่วมในกระบวนการบริหารจัดการ เนื่องจากกระบวนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุน และส่งเสริมการพัฒนาชุมชน องค์ประกอบของเครือข่าย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, (2543, อ้างถึงใน พระนำโชค อานนฺโท (ทองดี), 2560: 15) กล่าวว่า องค์ประกอบของเครือข่าย มีดังนี้ 1. การรับรู้มุมมองร่วมกัน (Common Perception) สมาชิกที่เข้ามาอยู่ในเครือข่าย ต้องมีความรู้สึกนึกคิดและการรับรู้ร่วมกันถึงเหตุผลการเข้าร่วมเป็นเครือข่าย อาทิ มีความเข้าใจในปัญหาและมีสำนึกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน มีประสบการณ์ในปัญหาร่วมกัน มีความต้องการความช่วยเหลือในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้สมาชิกของเครือข่ายเกิดความรู้สึกผูกพัน ในการดำเนินกิจกรรมบางอย่างร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น การรับรู้ร่วมกันถือเป็นหัวใจของเครือข่ายที่ทำให้เครือข่ายมีความต่อเนื่อง เพราะหากสมาชิกไม่มีความเข้าใจในการเข้าร่วมเป็นเครือข่ายจะทำให้การประสานงาน และการขอความร่วมมือในการดำเนินการเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะต่างคนต่างก็ใช้กรอบการมองโลกคนละกรอบเหมือนใส่แว่นตากันคนละสี ย่อมมองปัญหาหรือความต้องการที่เกิดขึ้นไปคนละทิศทางแต่มิได้ความหมายว่า สมาชิกของเครือข่ายไม่สามารถจะมีความคิดเห็นแตกต่างกัน เพราะมุมมองที่แตกต่างย่อมมีประโยชน์ ช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์ในการทำงาน แต่ความคิดที่แตกต่างนี้สมาชิกเครือข่ายยอมรับกัน มิฉะนั้น ความแตกต่างที่มีอยู่จะนำไปสู่ความแตกแยกและแตกหักในที่สุด 2. การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Common Vision) วิสัยทัศน์ร่วมเป็นการมองเห็นภาพของ จุดมุ่งหมายในอนาคตร่วมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม การรับรู้เข้าใจถึงทิศทางเดียวกันและการมีเป้าหมายที่จะไปด้วยกันจะช่วยทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวมีพลัง เกิดเอกภาพและช่วยบรรเทาความขัดแย้งอันเกิดจากมุมมองความคิดที่แตกต่างลงไปได้ในทางตรงข้าม เมื่อใดที่วิสัยทัศน์หรือเป้าหมาย ส่วนตัวขัดแย้งกับวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายของเครือข่ายพฤติกรรมการปฏิบัติของสมาชิกก็จะเริ่มแตกต่างจากสิ่งที่สมาชิกเครือข่ายกระทำร่วมกัน ดังนั้นแม้ว่าวิสัยทัศน์ร่วมกันเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการสร้างให้เกิดขึ้น แต่ก็จำเป็นต้องสร้างให้เกิดขึ้นให้ได้และสมาชิกของเครือข่ายก็ควรมีวิสัยทัศน์ย่อยส่วนตัวที่สอดคล้องไปด้วยกันกับวิสัยทัศน์ของเครือข่าย แม้อาจไม่ได้ซ้อนทับอย่างแนบสนิทกับวิสัยทัศน์ของเครือข่าย แต่อย่างน้อยก็ควรสอดรับไปในทิศทางเดียวกัน 3. การเกิดผลประโยชน์และความสนใจร่วมกัน (Mutual Interests/Benefits) เครือข่ายเกิดจากที่สมาชิกแต่ละคนก็มีความต้องการของตนเอง แต่ความต้องการเหล่านั้นจะไม่สามารถบรรลุ ผลสำเร็จได้หากสมาชิกต่างคนต่างอยู่ ความจำกัดนี้ทำให้เกิดการรวมตัวกันบนฐานของผลประโยชน์ร่วมที่มากเพียงพอจะดึงดูดใจให้รวมเป็นเครือข่าย ดังนั้น การรวมเป็นเครือข่ายจึงต้องตั้งอยู่บนฐานของผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน ซึ่งผลประโยชน์ในที่นี้ครอบคลุมทั้งผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน อาทิเกียรติยศ ชื่อเสียง การยอมรับโอกาสในความก้าวหน้า ความสุขความพึงพอใจ ฯลฯ กล่าวโดยสรุปก็คือ การที่จะดึงใครเข้ามามีส่วนร่วมในขบวนการเครือข่ายจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ ที่เขาจะได้รับจากการเข้าร่วม และในหลายกรณีอาจเป็นการพิจารณาล่วงหน้าก่อนที่เขาจะร้องขอด้วยซ้ำแม้ผลประโยชน์ที่แต่ละคนได้รับอาจมากน้อยแตกต่างกัน แต่ทุกคนได้รับผลประโยชน์ เมื่อใดสมาชิกได้รับประโยชน์ร่วม หรือเมื่อเขาคิดคำนวณแล้วเขาเสียมากกว่าได้ เขาก็จะเริ่มถอยตัวเองออกจากเครือข่ายไปหรือเมื่อเขาได้รับการสนองตอบต่อความต้องการที่มีอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็จะออกไปจากเครือข่ายในที่สุด ประเด็นสำคัญอีกประการก็คือ ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับ ต้องเพียงพอสำหรับเขาในการที่จูงใจให้เข้ามีส่วนร่วมในทางปฏิบัติจริง โดยไม่ได้มีส่วนร่วมแบบประดับที่มีเพียงตำแหน่งหรือรายชื่อในเครือข่ายแต่ไม่มีการเข้าร่วมปฏิบัติจริงในเครือข่าย 4. การมีส่วนร่วมของสมาชิกเครือข่ายอย่างกว้างขวาง (All Stakeholders Participation) การมีส่วนร่วมของสมาชิกในเครือข่าย นับเป็นกระบวนการที่สำคัญมากในการพัฒนาความเข้มแข็งของเครือข่าย เพราะกระบวนการมีส่วนร่วมทุกฝ่ายในเครือข่าย (All Stakehoders In Network) ย่อมเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการร่วมรับรู้ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจและร่วมลงมือกระทำอย่างเข้มแข็ง ดังนั้น สถานะของสมาชิกในเครือข่ายจึงควรเป็นไปในลักษณะของความเท่าเทียมกัน (Equal Status) ในฐานะของ “หุ้นส่วน (Partner)” ของเครือข่าย ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในแนวราบ (Horizontal Relationship) ที่เท่าเทียมกันแทนความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง (Vertical Relationship) หมายความว่า หากการรวมตัวเป็นเครือข่ายเกิดขึ้นระหว่างรัฐกับชุมชนท้องถิ่นหน่วยงานภาครัฐ ก็ต้องวางสถานะของตนเองเทียบเท่ากับประชาชนในฐานะของสมาชิกเครือข่ายมิใช่การวางตัวเป็นเจ้านายเหนือประชาชน อย่างไรก็ตามแม้จะยากในทางปฏิบัติในหลายๆ กรณีเพราะต้องอาศัยการเปลี่ยนกรอบความคิดของสมาชิกในเครือข่ายและการสร้างบริบทแวดล้อมอื่นๆ เข้ามาประกอบด้วย แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำหากต้องการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง 5. การเสริมสร้างซึ่งกันและกัน (Complementary Relationship) องค์ประกอบที่จะ ทำให้เครือข่ายดำเนินไปอย่างต่อเนื่องก็คือ การที่สมาชิกของเครือข่ายต่างก็ต้องเสริมสร้างซึ่งกันและกันโดยที่จุดแข็งของฝ่ายหนึ่งไปช่วยเสริมจุดอ่อนของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวเป็นเครือข่ายมากกว่าการไม่สร้างเครือข่ายแต่ต่างคนต่างอยู่ตัวอย่างเช่น นักวิชาการที่เข้าใจสภาพท้องถิ่นเข้าไปทำการวินิจฉัยร่วมกับประชาชนในท้องถิ่น ก็จะช่วยให้เกิดการสะสมองค์ความรู้ของท้องถิ่นอย่างเป็นระบบอันเป็นประโยชน์ต่อชุมชน ในขณะที่ประชาชนในท้องถิ่นก็ให้ข้อมูล และความร่วมมือในการศึกษาวิจัย หรือการที่มูลนิธิขององค์กรธุรกิจช่วยสนับสนุนด้านเงินแก่องค์กรประชาชน ขณะเดียวกันความสำเร็จขององค์กรประชาชนก็สร้างชื่อเสียงแก่องค์กรธุรกิจนั้นด้วย 6. การพึ่งพิงอิงร่วมกัน (Interdependence) เนื่องจากธรรมชาติความจำกัดของ สมาชิกในเครือข่ายทั้งด้านทรัพยากร ความรู้ เงินทุน กำลังคน ฯลฯ สมาชิกของเครือข่ายจึงไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยตัวเอง การจะทำให้เป้าหมายร่วมสำเร็จได้นั้นสมาชิกต่างจำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในเครือข่ายเพื่อให้เกิดการเสริมสร้างซึ่งกันและกันการจะทำให้สมาชิกหรือ หุ้นส่วนของเครือข่ายยึดโยงกันให้แน่นหนาจำเป็นต้องทำให้หุ้นส่วนแต่ละคนรู้สึกว่าหากเอาหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งออกไปจะทำให้เครือข่ายล้มลงไปได้การดำรงอยู่ของหุ้นส่วนแต่ละคน จึงจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของเครือข่าย ซึ่งการพึ่งพิงร่วมกันนี้จะส่งผลทำให้สมาชิกต้องมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันโดยอัตโนมัติ 7. การปฏิสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยน (Interaction) สมาชิกในเครือข่ายต้องทำกิจกรรม ร่วมกันเพื่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกด้วยกัน เช่น มีการติดต่อกันผ่านทางการเขียนหรือการพบปะพูดคุย การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หรือมีกิจกรรมประชุมสัมมนาร่วมกัน เป็นต้นซึ่งผลของการปฏิสัมพันธ์นี้ ต้องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเครือข่ายตามมาด้วยปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวจะเป็นลักษณะความสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยนระหว่างกัน (Reciprocal Exchange) มิใช่ปฏิสัมพันธ์ฝ่ายเดียว (Unilateral Exchange) ยิ่งสมาชิกมีการปฏิสัมพันธ์กันมากเท่าใดก็จะยิ่งเกิดความผูกพันภายในระหว่างกันมากขึ้นเท่านั้นซึ่งจะช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงในระดับที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น (Highly Integrated) นอกจากนี้ การปฏิสัมพันธ์ยังช่วยให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างกันมากขึ้น จะช่วยให้เครือข่ายเข้มแข็งยิ่งขึ้น พระมหาสุทิตย์ อาภากโร, (2547, กล่าวถึง องค์ประกอบที่สำคัญของความเป็นเครือข่าย มีจุดร่วมที่สำคัญอย่างน้อย 5 ประการ ดังนี้ 1. สมาชิกเป็นหน่วยชีวิตที่เป็นองค์ประกอบเบื้องต้นของความเป็นเครือข่ายที่สร้าง ระบบปฏิสัมพันธ์ตามหลักธรรมชาติที่จะต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้นหน่วยชีวิต หรือ สมาชิกในองค์กรนั้นจะเป็นองค์ประกอบหลักที่ก่อให้เกิดความเป็นเครือข่าย 2. เป้าหมายเป็นวัตถุประสงค์ของเครือข่ายที่จะต้องมีจุดหมายร่วมกัน หมายถึง การ ทำงานร่วมกันอย่างมีจุดหมาย เพื่อทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์และกระบวนการ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้น 3. การทำหน้าที่อย่างมีจิตสำนึก เป็นการทำหน้าที่ต่อกัน เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างมีจิต รับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่าแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน 4. การมีส่วนร่วม เป็นการพึ่งพาอาศัยและแลกเปลี่ยนทรัพยากรกันในการทำกิจกรรม ต่างๆ ของสมาชิกจะเป็นปัจจัยที่หนุนเสริมให้เครือข่ายนั้นมีพลังมากขึ้น เพื่อให้ภารกิจที่เครือข่าย ดำเนินการร่วมกันนั้นบรรลุเป้าหมาย 5. การสื่อสาร เป็นข้อมูลและการติดต่อระหว่างกัน โดยกระบวนการสื่อสารนั้นจะช่วย ให้สมาชิกในเครือข่ายเกิดการเรียนรู้ เกิดการยอมรับในกระบวนการทำงานและช่วยรักษา ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ธนา ประมุขกุล, (2544, ได้กล่าวถึง องค์ประกอบสำคัญของเครือข่าย มีด้วยกัน 4 ประการ ดังนี้ 1. สมาชิกจะรวมตัวกันเป็นเครือข่าย ถ้าสมาชิกมีจำนวนมากจำเป็นต้องมี คณะกรรมการทำหน้าที่จัดการประสานงานให้เครือข่ายดำเนินไปโดยราบรื่น 2. ผู้ประสานงาน เป็นบุคคลที่จะนำพาเหล่าสมาชิกไปพบกับสิ่งที่เครือข่ายต้องการ เพราะการเป็นเครือข่ายจะให้ความสำคัญกับสมาชิกทุกคนเสมอกัน ดังนั้น ผู้นำที่แท้จริงของ เครือข่ายจึงเป็นสมาชิกทุกคนและบุคคลที่จะนำพาเหล่าสมาชิกไปพบกับสิ่งที่เครือข่ายต้องการ จึงได้แก่ “ผู้ประสานงาน” เพื่อให้เครือข่ายเกิดการขับเคลื่อนไปด้วยพลังร่วมของสมาชิก 3. เป้าหมาย เป็นวัตถุประสงค์ที่เป็นจุดร่วมของการเป็นเครือข่าย ความชัดเจนของ เป้าหมาย มีความสำคัญต่อการเข้าร่วมและคงอยู่ของสมาชิกที่มากันหลากหลาย และเป้าหมายจะ เป็นตัวกำหนดกิจกรรมของเครือข่ายที่จะตามมา 4. กิจกรรมของเครือข่าย ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของเครือข่าย ด้วยอาศัยการมีส่วนร่วมกันคิด ร่วมกันตัดสินใจ ร่วมกันดำเนินการและร่วมแบ่งปันทรัพยากรของสมาชิก กล่าวโดยสรุป จากการศึกษาองค์ประกอบของเครือข่าย ควรประกอบไปด้วย 1) การรับรู้มุมมองร่วมกัน 2) การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน 3) การเกิดผลประโยชน์และความสนใจร่วมกัน 4) การมีส่วนร่วมของสมาชิกเครือข่ายอย่างกว้างขวาง 5) การเสริมสร้างซึ่งกันและกัน 6) การเสริมสร้างซึ่งกันและกัน 7) การปฏิสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ องค์ประกอบของเครือข่ายที่สำคัญ จะต้องมี 1) สมาชิกเป็นหน่วยชีวิตที่เป็นองค์ประกอบเบื้องต้น จะรวมตัวกันเป็นเครือข่าย ถ้าสมาชิกมีจำนวนมากจำเป็นต้องมี คณะกรรมการทำหน้าที่จัดการประสานงานให้เครือข่ายดำเนินไปโดยราบรื่น 2) ผู้ประสานงาน เป็นบุคคลที่จะนำพาเหล่าสมาชิกไปพบกับสิ่งที่เครือข่ายต้องการ เพราะการเป็นเครือข่ายจะให้ความสำคัญกับสมาชิกทุกคนเสมอกัน และมีส่วนร่วม เป็นการพึ่งพาอาศัยและแลกเปลี่ยนทรัพยากรกันในการทำกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกจะเป็นปัจจัยที่หนุนเสริมให้เครือข่ายนั้นมีพลังมากขึ้น เพื่อให้ภารกิจที่เครือข่าย ดำเนินการร่วมกันนั้นบรรลุเป้าหมาย 3) เป้าหมายเป็นวัตถุประสงค์ของเครือข่ายที่จะต้องมีจุดหมายร่วมกัน ความชัดเจนของ เป้าหมาย มีความสำคัญต่อการทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์และกระบวนการ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้น 4) กิจกรรมของเครือข่าย ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของเครือข่าย ด้วยอาศัยการมีส่วนร่วมกันคิด ร่วมกันตัดสินใจ ร่วมกันดำเนินการและร่วมแบ่งปันทรัพยากรของสมาชิก ทำหน้าที่อย่างมีจิตสำนึก เป็นการทำหน้าที่ต่อกัน เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างมีจิตรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่าแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน 5) การสื่อสาร เป็นข้อมูลและการติดต่อระหว่างกัน โดยกระบวนการสื่อสารนั้นจะช่วย ให้สมาชิกในเครือข่ายเกิดการเรียนรู้ เกิดการยอมรับในกระบวนการทำงานและช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ความหมายของชุมชน พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของชุมชน หมายถึง หมู่ชน กลุ่มคนที่อยู่รวมกันเป็นสังคมขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน และมีผลประโยชน์ร่วมกัน (ชุมชน, 2555:ออนไลน์) ประเวศ วะสี (2541, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 37-49) ได้ให้ความหมายของความเป็นชุมชน ไว้ว่า การที่คนจำนวนหนึ่งเท่าใดก็ได้มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน มีการติดต่อสื่อสารหรือรวมกลุ่มกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน มีการเรียนรู้ร่วมกันในการกระทำรวมถึงการติดต่อสื่อสารกัน มีการจัดการเพื่อให้เกิดความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ร่วมกันนั้น ทั้งนี้ชยันต์ กาญจนา แก้วเทพ (2538, ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 37-49)) ที่ได้ให้ความหมายไว้ว่า กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตบริเวณเดียวกัน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีฐานะและอาชีพที่เหมือนหรือคล้ำยคลึงกัน (Homogeneous) มีลักษณะของการใช้ชีวิตร่วมกัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชน มีความรู้สึกว่าเป็นคนชุมชนเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีการดำรงรักษาคุณค่าและมรดกทางวัฒนธรรมและศาสนา ถ่ายทอดไปยังลูกหลานอีกด้วย เช่น ชุมชน หรือหมู่บ้านในชนบท เป็นต้น จินตนา สุจจานันท์ (2549, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด, 2560: 37-49) ที่กล่าวไว้ว่า คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน มีความสัมพันธ์กันและมีวัฒนธรรมเดียวกัน นั่นเอง มีลักษณะของความหมายใกล้เคียงกัน วรรธนะภูติ (2536, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 37-49) ก็ได้ให้ความหมายของชุมชน ไว้อย่างน่าสนใจว่า การอยู่รวมกันของกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ในพื้นที่แห่งหนึ่ง เพื่ออาศัยทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณนั้นในการดำรงชีวิต โดยเหตุที่มีคนกลุ่มดังกล่าวอาศัยอยู่ร่วมกัน ใช้ทรัพยากรเพื่อการผลิต จึงมีการกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีองค์กรหรือสถาบันของชุมชนและกฎเกณฑ์ต่างๆ สัญญา สัญญาวิวัฒน์ (2526, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 37-49) ได้กล่าวถึงชุมชนที่หมายรวมถึง องค์การทางสังคมอย่างหนึ่งที่มีอาณาเขตครอบคลุมท้องถิ่นหนึ่ง และปวงสมาชิกสามารถบรรลุถึงความต้องการพื้นฐาน ส่วนใหญ่ได้และสามารถแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ในชุมชนของตนเองได้ เช่นเดียวกับดันแฮม ได้ให้ความหมายของชุมชน ไว้ว่า กลุ่มมนุษย์ กลุ่มหนึ่ง ตั้งภูมิลำเนา อยู่ในอาณาเขตทางภูมิศาสตร์ที่ค่อนข้างแน่นอนและติดต่อกันและกัน และมีส่วนสำคัญของชีวิตทั่ว ๆ ไปอย่างเดียวกัน เช่น มารยาท ขนบธรรมเนียมประเพณีและแบบแห่งการพูด สมสมัย เอียดคง (2555, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 38) ได้ให้ความหมายของชุมชน หมายถึง ถิ่นฐานที่อยู่ ของกลุ่มคน ถิ่นฐานนี้มีพื้นที่อ้างอิงได้ และกลุ่มคน นี้มีการอยู่อาศัยร่วมกัน มีการทำกิจกรรม เรียนรู้ ติดต่อสื่อสาร ร่วมมือและพึ่งพาอาศัยกัน มีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาประจำถิ่น มีจิตวิญญาณและ ความผูกพันอยู่กับพื้นที่แห่งนั้น อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน กล่าวโดยสรุป การอยู่รวมกันของกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ตั้งภูมิลำเนาอาศัยอยู่ในอาณาเขตทางภูมิศาสตร์ที่ค่อนข้างแน่นอนและติดต่อกันและกันในพื้นที่แห่งหนึ่ง มีส่วนสำคัญและความสัมพันธ์ใกล้ชิดของชีวิตทั่ว ๆ ไปอย่างเดียวกัน เช่น มารยาท ขนบธรรมเนียมประเพณี การดำรงรักษาคุณค่า และมรดกทางวัฒนธรรมและศาสนา ถ่ายทอดไปยังลูกหลานอีกด้วย มีจิตวิญญาณและ ความผูกพันอยู่กับพื้นที่แห่งนั้น อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน มีฐานะและอาชีพที่เหมือนหรือคล้ำยคลึงกัน มีลักษณะของการใช้ชีวิตร่วมกัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชน มีความรู้สึกว่าเป็นคนชุมชนเดียวกัน เพื่ออาศัยทรัพยากรธรรมชาติในบริเวณนั้นในการดำรงชีวิต ทำกิจกรรม เรียนรู้ ติดต่อสื่อสาร ร่วมมือและพึ่งพาอาศัยกัน โดยเหตุที่มีคนกลุ่มดังกล่าวอาศัยอยู่ร่วมกัน ใช้ทรัพยากรเพื่อการผลิต จึงมีการกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีองค์กรหรือสถาบันของชุมชนและกฎเกณฑ์ต่างๆ ลักษะของชุมชน สมศักดิ์ ศรีสันติสุข (2534, , อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 39) ได้อธิบายลักษณะของชุมชนตามประเภทของชุมชนซึ่งจะทำให้เข้าใจลักษณะของชุมชนลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ดังนี้ 1. ลักษณะของชุมชนแบ่งตามการบริหารการปกครอง (Administration Unit) แบ่งออกเป็น 6 ชุมชน โดยพิจารณาจากการปกครองของไทยตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ได้แก่ 1.1 ชุมชนหมู่บ้าน ประกอบด้วยบ้านหลายบ้านในท้องที่เดียวกัน อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 บ้านหรือ ยึดเอาที่จำนวนคนประมาณ 200 คน สามารถจัดตั้งเป็นหมู่บ้านได้ 1.2 ชุมชนเขตสุขาภิบาล ต้องคำนึงถึงเนื้อที่ของเขตควรมีขนาดประมาณ 1-4 ตารางกิโลเมตร มีร้านค้าอย่างน้อย 10 ห้อง ประชาชนในเขตมีอย่างน้อย 1,500 คน สามารถจัดตั้งเป็นเขตสุขาภิบาลได้ 1.3 ชุมชนเขตเทศบาลตำบล ชุมชนเขตสุขาภิบาลที่มีความเจริญ มีความหนาแน่นยกฐานะจากสุขาภิบาลเป็นเทศบาลโดยมีการจัดสาธารณูปโภคมากขึ้นและการปกครองตนเองมากยิ่งขึ้น และลักษณะจะเป็นชุมชนใหญ่และมักจะอยู่ในเขตอำเภอ 1.4 ชุมชนเขตเทศบาลเมือง ชุมชนที่มีราษฎรในท้องที่ตั้งแต่ 10,000 คนขึ้นไป ซึ่งชุมชนเขตเทศบาลเมืองมักจะตั้งในเขตของตัวจังหวัดตั้งอยู่ 1.5 ชุมชนเขตเทศบาลนคร ชุมชนจากเทศบาลเมืองสามารถยกฐานะขึ้นมาเป็นเทศบาลนครได้ โดยท้องที่มีราษฎรตั้งแต่ 50,000 คนขึ้นไป ชุมชนในเขตเทศบาลนครมักจะเป็นเมืองขนาดใหญ่และเป็นศูนย์กลางของการบินพาณิชย์และอื่น ๆ 1.6 ชุมชนเขตกรุงเทพมหานคร เป็นชุมชนที่ประชาชนอยู่กันอย่างหนาแน่มากและเป็น เอกนคร (Primate City) มีการปกครองตนเอง มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ประชาชนมีอยู่อย่ำงหนาแน่น ประเภทของชุมชน การแบ่งชุมชนมีวิธีการแบ่งอยู่หลายประเภท เป็นต้นว่าแบ่งตามจำนวนประชากรไว้ 7 ประเภท ได้แก่ (ลำพอง บุญช่วย, 2524, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 42) 1) หมู่บ้านเล็ก (ประชากรไม่เกิน 250 คน) 2) หมู่บ้าน (ประชากรระหว่าง 250-1,000 คน) 3) เมือง (ประชากรระหว่าง 1,000-5,000 คน) 4) นครเล็ก (ประชำกรระหว่าง 5,000-25,000 คน) 5) นครขนาดกลาง (ประชากรระหว่าง 25,000-100,000 คน) 6) นครขนาดใหญ่ (ประชากรระหว่าง 100,000-1,000,000 คน) และ 7) มหานคร (ประชาชนมากกว่า 1,000,000 คน) การแบ่งประเภทชุมชนไว้ตามลักษณะความสัมพันธ์ของคนในชุมชน มี 2 ประเภท เช่นกัน ได้แก่ (สนธยา พลศรี, 2545, 43) 1) ชุมชนชนบท (Rural Community) เป็นชุมชนที่อยู่ในเขตชนบท ซึ่งมีความหนาแน่นของประชากรน้อย ผู้อยู่อาศัยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี มีอาชีพเกษตรกรรม 2) ชุมชนเมือง (Urban Community) เป็นชุมชนที่มีความหนาแน่นของประชากรมาก อาคารบ้านเรือนหนาแน่น มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นมากกว่าสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ อาชีพมีมากมายหลายอาชีพ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม การค้าขายและการบริการ สมาชิกมีความเป็นอิสระ หรือปัจเจกบุคคลสูง ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นแบบตัวใครตัวมัน คือเป็นทางการมากกว่าส่วนตัว สมาชิกมีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ และขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่อยู่ร่วมกันได้เพราะผลประโยชน์ที่แต่ละคนจะได้รับ เป็นต้น ณรงค์ เส็งประชา (2528, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 43) ได้อธิบาย ชุมชนเมืองว่า เกิดขึ้นได้ในหลำยลักษณะ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่เจริญก้าวหน้าขึ้น และเสื่อมลงและถูกแทนที่โดยผู้คนที่ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ 1. การแบ่งแยก (Segregation) เช่น ย่านค้าปลีก ย่านค้าเครื่องเหล็ก 2. การบุกรุก (Invasion) เช่น การบุกรุกของคนร่ำรวยเข้าไปแทนที่คนยากจน การบุกรุกของผู้คนเข้าไปตั้งร้านค้า โรงงานอุตสาหกรรมย่ำนที่พักอาศัย การรื้อถอนแหล่งเสื่อมโทรมเพื่อใช้เป็นสถานที่ราชการ 3. การกระจายออกจากศูนย์กลางของเมือง (Decentralization) เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรสูง ที่ดินราคาแพง ผู้คนไปอาศัยอยู่ชานเมืองมากกขึ้น 4. การเดินทางเข้าออกประจำ (Routinization) การเคลื่อนย้ายของผู้คนแบบเดินทางไป 3. กลับเป็นประจำระหว่างบ้านพักอาศัยกับสถานที่ทำงาน ปัจจุบันมีปริมาณสูงมากขึ้น นฤมล นิราทร และคณะ (2550, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 44-45) ได้อธิบายเกี่ยวกับวิถีชีวิตแบบเมือง ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาวิจัยเศรษฐกิจนอกภาคทางการในเมืองเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง เฉพาะลึกที่เขตดินแดงไว้อย่างน่าสนใจว่า ความเป็นวิถีชีวิตแบบเมืองทำให้เกิดเป็นจุดอ่อนบางประการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงในเศรษฐกิจนอกภาคทางการ ที่ผู้อยู่อาศัยมีความแปลกแยกกันสูง ต่างคนต่างอยู่ รู้จักกันน้อยมากจากเงื่อนไขของสภาพที่อยู่อาศัย และวิถีชีวิต ทำให้บุคคลมีพื้นที่ของความสัมพันธ์เชิงสังคมที่จะช่วยลดความเครื่องเครียดจากความแปลกแยก แตกต่าง อย่างจำกัด นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดของบริบทเมืองอีกประการคือ ลักษณะที่พยายามสร้างแบบแผนที่เหมือนกัน (Convergence) ทำให้เกิดข้อจำกัดในบางมิติและพื้นที่ที่จะตอบสนองต่อความหลากหลายอันเป็นลักษณะพื้นฐานของสังคมสมัยใหม่ซึ่งมีความหลากหลายสูงมาก บริบทเหล่านี้กลายเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจนอกภาคทางการ ซึ่งมีลักษณะหลากหลายสูง (Divergence) โดยเฉพาะในบริบทของเขตดินแดงซึ่งอำจกล่าวได้ว่าเป็นชุมชนทางของความหลากหลาย เช่น เป็นที่รวมของหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา บริษัทห้างร้าน แหล่งบันเทิงยามราตรี ที่อยู่อาศัย เป็นเส้นทางต่อรถโดยสารประจำทาง เป็นต้น จึงเป็นสถานที่รวมคนต่างระดับ รายได้ การศึกษา รสนิยม ภูมิลำเนา ความหลากหลายที่ปรากฏชัดเจนอีกประการคือ ความหลากหลายของชนิดอาหาร รูปแบบการจำหน่าย มีทั้งหาบเร่แผงลอย ร้านกาแฟ หรูหรา ภัตตาคาร เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้เอื้อให้เศรษฐกิจนอกภาคทางการโดยเฉพาะการผลิตอาหารอยู่รดได้มากขึ้น เนื่องจากวัฒนธรรมการกินของสังคมไทยมีพื้นฐานความหลากหลายอย่างยิ่ง ส่วนในระดับบุคคล พบว่าผู้มีความสามารถในฝีมืออาหาร และอัธยาศัยดี สามารถอยู่รอด “ขาดหมดทุกวัน” ได้อย่างน่าแปลกใจ วิถีชีวิตแบบเมือง จะมีลักษณะของผู้ที่แตกต่างในลักษณะการดำรงชีวิตกันอย่างมาก ซึ่งจะสามารถเห็นได้ในตลอดเวลาว่า ในชุมชนหนึ่งจะมีทั้งคนรวย คนจน คนมีกินทุกมื้อ คนอดอยาก คนมีที่หลับนอนสบาย คนไร้ที่พักพิง(นอนข้างถนน ตามป้ายรถเมล์) มีความหลากหลาย ความแปลกแยกแตกต่างทางสังคมจำนวนมากมาย ลักษณะที่เห็นได้อย่างชัดเจน ความต่างคนต่างอยู่จะมากในชุมเมือง ความเห็นแก่ตัว ความเร่งรีบ วิถีการกินแบบรวดเร็ว อยู่กับการทำมาหากินเป็นหลัก มีเงินตัวกลางในการกระทำต่าง ๆ ของการดำรงชีพ เป็นต้น (ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด, 2555, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 45) ลักษณะของสังคมเมืองโดยทั่วไปมีดังนี้ (วรวุธ สุวรรณฤทธิ์ และคณะ, 2549, อ้างถึงใน ภูสิทธ์ ภูคำชะโนด (2560: 46-47) 1. มีความสัมพันธ์กันในลักษณะทุติยภูมิ คือติดต่อกันด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานมากกว่าเป็นการส่วนตัว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ตอบแทนจากความสัมพันธ์นั้น ความสนิทสนมรักใคร่และความจริงใจต่อกันมีน้อย 2. ความผูกพันกันในครอบครัวมีน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผูกพันกันกับเพื่อนบ้านมีน้อยมาก แม้บ้านติดกันอาจไม่รู้จักกันก็ได้ ทั้งนี้เพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สมาชิกในครอบครัว มีภาระที่ต้องทำมาก ไม่ค่อยมีเวลาสังสรรค์กัน 3. อาชีพของชาวเมืองมีมากมาย ต่างคนต่างมีอาชีพที่แตกต่างกันออกไป แต่ละคนก็มีความชำนาญพิเศษในอาชีพของตน ซึ่งต่างกับชาวชนบท 4. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเป็นไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ ความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมตะวันตก ทำให้ชาวเมืองสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นทำให้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 5. เป็นศูนย์รวมของการศึกษา การปกครอง ธุรกิจการค้าและอื่น ๆ 6. ชาวเมืองส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ระบบการแบ่งงานกันทำ เพราะมักจะมีความรู้ความสามารถเฉพาะอย่าง ดังนั้นจึงต้องมีชีวิตอยู่โดยอาศัยซึ่งกันและกัน เช่น ผู้ที่มีอาชีพนักบัญชี ก็คงซ่อมแซมบ้านของตนเองไม่ได้ ปรุงอาหารเองอาจไม่เป็น ผิดกับชาวชนบทซึ่งมักจะช่วยตนเองได้มากกว่า 7. เป็นสังคมที่มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพมหานคร และเมืองหลักของแต่ละภูมิภาคเพราะมีสิ่งจูงใจมาก ทำให้ชาวชนบทอพยพเข้ามาในเมือง 8. คนในเมืองไม่ค่อยมีความเห็นใจและไม่ค่อยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ทั้งนี้เพราะการที่ต้องแข่งขันยิ่งชิงกัน 9. ค่านิยมบางประการที่สังเกตเห็นได้ เช่น ความโอ่อ่า วัตถุนิยม เป็นต้น ลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นน่าจะสามารถสังเกตเห็นได้ในชุมชนเมืองใหญ่ ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ เป็นต้น กล่าวโดยสรุป การแบ่งชุมชนมีวิธีการแบ่งตามจำนวนประชากรไว้ 7 ประเภท ได้แก่ 1) หมู่บ้านเล็ก 2) หมู่บ้าน 3) เมือง 4) นครเล็ก 5) นครขนาดกลาง 6) นครขนาดใหญ่ 7) มหานคร นอกจากนี้จังแบ่งตามลักษณะความสัมพันธ์ของคนในชุมชน มี 2 ประเภท ได้แก่ 1) ชุมชนชนบท (Rural Community) เป็นชุมชนที่อยู่ในเขตชนบท ซึ่งมีความหนาแน่นของประชากรน้อย ผู้อยู่อาศัยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี มีอาชีพเกษตรกรรม 2) ชุมชนเมือง (Urban Community) เป็นชุมชนที่มีความหนาแน่นของประชากรมาก อาคารบ้านเรือนหนาแน่น มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นมากกว่าสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ อาชีพมีมากมายหลายอาชีพ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม การค้าขายและการบริการ สมาชิกมีความเป็นอิสระ หรือปัจเจกบุคคลสูง วิถีชีวิตแบบเมือง จะมีลักษณะของผู้ที่แตกต่างในลักษณะการดำรงชีวิตกันอย่างมาก ซึ่งจะสามารถเห็นได้ในตลอดเวลาว่า ในชุมชนหนึ่งจะมีทั้งคนรวย คนจน คนมีกินทุกมื้อ คนอดอยาก คนมีที่หลับนอนสบาย คนไร้ที่พักพิง(นอนข้างถนน ตามป้ายรถเมล์) มีความหลากหลาย งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. พุทธวิถี พระมหาฉัตรชัย อภิชโย (ส่งเสริม) และ จักรี ศรีจารุเมธีญาณ (2564: 55.) ศึกษาการบริหารงานตามแนวหลักพุทธธรรม พบว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาและการปฏิบัติ หลักคำสอนทั้งหลายในพระพุทธศาสนานั้นกล่าวถึงหลักความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติที่ผู้ศึกษาต้องใช้ปัญญาในการศึกษาและการปฏิบัติควบคู่กันไปทั้งนี้หลักพุทธธรรมในพระพุทธศาสนาประกอบด้วยหลักศีลธรรม และจริยธรรม มุ่งเน้นให้รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต ในปัจจุบันโดยเฉพาะการบริหารงานตามแนวพุทธธรรมนั้น นับว่ามีส่วนสำคัญในการกระตุ้นผู้ใต้บังคับบัญชาให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีการพัฒนาที่ยั่งยืนและประสบความสำเร็จในองค์การ โดยผู้นำยึดหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สังคมยอมรับ ผู้นำจำเป็นต้องเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม การบริหารงานตามแนวพุทธธรรม จึงเป็นการใช้หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา ด้วยการบริหารทั้งในด้านการบริหารตนเองของผู้บริหาร การบริหารบุคคลและการบริหารงานในองค์การและมีความสอดคล้องกับหลักการ ครองตน ครอง คน และครองงาน โดยการใช้หลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในด้านการบริหารจัดการและดำเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งประกอบไปด้วยหลักธรรม 2 หลักธรรมคือ พรหมวิหาร 4 ทศพิธราชธรรม 10 พระมหาปริญญา วรญาโณและคณะ (2560: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเกษตรวิถีพุทธ: แนวคิดและการจัดการบนพื้นฐานของพลังชุมชน กรณีศึกษาจังหวัดอุดรธานี ผลการวิจัยพบว่า เกษตรแนวพุทธเป็นเกษตรที่ถือเอาแม่แบบของมัชฌิมปฏิปทาหรือทางสายกลางในการทำงาน ไม่เบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่น ดำเนินกิจกรรมด้วยหลักทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์ คือ ขยันหา รักษาดี มีกัลยาณมิตร เลี้ยงชีวิตชอบ และมีหลักธรรมที่มีความสำคัญอีก 5 ประการ คือ ด้านจิตใจ เป็นที่พึ่งของตนเอง ด้านสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้และจัดการอย่างฉลาด ด้านเทคโนโลยีและด้านเศรษฐกิจ ลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ โดยนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้กับการแก้ปัญหาเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นเกษตรวิถีพุทธ เพื่อให้เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง การพัฒนาเกษตรแนวพุทธของสำนักธรรมสถานสวนป่าทุ่งนาคำหลวง พบว่า สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์การเรียนรู้ของชาวบ้าน เป็นต้นแบบที่ดีของการดำเนินงานเกษตรวิถีพุทธของสังคม เพราะได้ช่วยเหลือชุมชน ด้วยการสร้างเกษตรวิถีพุทธ ทำให้เป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจ และช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในครอบครัวชุมชนให้ยั่งยืนได้ ด้วยการนำหลักธรรมไปประยุกต์ใช้ในการเกษตรให้เข้ากับพื้นที่ของตน เช่น หลักศีล 5 อิทธิบาท 4 และสังคหวัตถุ 4 เป็นต้น การสวดมนต์ทุกครั้งในขณะปลูกพืชทุกชนิด นอกจากการสวดเพื่อขจัดอันตราย และทำความคุ้มครองให้มั่นคงแล้วก็ยังงอกงามเหมือนเดิม แต่พิธีสวดมนต์นี้ก็ยังสร้างความมั่นใจและเกิดสมาธิในการที่จะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ ให้มีความเจริญเติบโตขึ้นมาได้ตามความประสงค์ การนำบทสวดมนต์มาประยุกต์ใช้ในทางการเกษตร จึงเป็นการเหมาะสมกับยุคสมัย เพราะเป็นการผสมผสานนวัตกรรมร่วมกับเกษตรวิถีพุทธ หากผู้ปฏิบัติตั้งใจทำ ก็จะสามารถดำรงชีพได้อย่างพอเพียง และสามารถลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ภายในครอบครัวและสังคมได้ ด้านผลสำเร็จของกลุ่มสมาชิกที่นำแนวคิดการเกษตรวิถีพุทธ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจในชุมชน พบว่า สมาชิกกลุ่มเครือข่ายเกษตรวิถีพุทธ และประชาชนทั่วไปที่มาศึกษาดูงาน ได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติก็ได้ประสบความสำเร็จ ทำให้พลังชุมชนในแหล่งนั้น เกิดความเข้มแข็ง สามารถปรับวิถีชีวิตของตนอย่างเห็นได้ชัด เป็นที่น่าพอใจ ดังตัวอย่างชุมชนบ้านนาคำหลวง ตำบลนาข่า อำเภอเมืองอุดรธานี, ชุมชนบ้านเพีย ตำบลกุดจับ อำเภอกุดจับ, ชุมชนบ้านดอนคง ตำบลอุ่มจาน อำเภอประจักษ์ศิลปาคม และชุมชนบ้านป่าปอ แดง ตำบลจำปี อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่เป็นแนวทางในการแก้ไขเศรษฐกิจ ชุมชนได้ในทางหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นการเริ่มต้นได้ไม่นาน คือ การลดค่าใช้จ่ายในการบริโภคให้น้อยลงได้อย่าง เหมาะสม มีการปลูกพืช ผลไม้ไว้บริโภคในไร่นาของตน อีกทั้งมีความตระหนักว่าชีวิตของมีความปลอดภัย เพราะไม่ต้องเสี่ยงภัยที่เกิดจากสารพิษตกค้าง ทำให้มีความสุขสงบในการดำรงชีวิต เพราะได้อยู่กับธรรมชาติ มากขึ้น และมีการก่อให้เกิดการช่วยเหลือกันในชุมชน ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ทำให้ไม่ต้องซื้อหาพืชผักบางชนิด เพราะคนในชุมชนจักปลูกพืชผักเพื่อการบริโภคเองตามที่ตนสามารถทำได้ ไม่เดือดร้อน เพราะตนเป็นที่ พึ่งของตนได้ กัญจนพรรษณ์ จุพรมณ (2561: บทคัดย่อ) ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาชุมชนเข้มแข็งเชิงพุทธบูรณาการ ความเข้มแข็งของชุมชน มีพื้นฐานของความมีจิตสำนึกที่ต้องการจะมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนด้วยความสามัคคี ชุมชนสามารถที่จะวิเคราะห์ปัญหา และตัดสินทางเลือกนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้สำเร็จพัฒนาไปสู่การแก้ไขปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ทำให้ชุมชน มีความสามารถที่พึ่งตนเองได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทุกกิจกรรมที่ประสบความสำเร็จจะใช้หลักการมีส่วนร่วมของชุมชน 5 ระดับ คือ ขั้นการค้นหาปัญหา และสาเหตุของปัญหาในชุมชนตลอดจน กำหนดความต้องการของชุมชน และมีส่วนร่วมในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการ ขั้นการวางแผนพัฒนา โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนด นโยบายและวัตถุประสงค์ของโครงการ กำหนดวิธีการและแนวทางการดำเนินงาน ตลอดจนกำหนดทรัพยากรและแหล่งทรัพยากรที่ใช้ขั้นการดำเนินงานพัฒนา เป็นขั้นตอนที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์โดยการสนับสนุนทรัพย์ วัสดุอุปกรณ์และแรงงาน หรือเข้าร่วม บริหารงาน ประสานงานและดำเนินการขอความช่วยเหลือจากภายนอก ขั้นการรับผลประโยชน์จากการพัฒนา เป็นขั้นตอนที่ ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ที่พึงได้รับจากการพัฒนาหรือยอมรับ ผลประโยชน์อันเกิดจากการพัฒนาทั้งด้านวัตถุและจิตใจ ขั้นการประเมินผลการพัฒนา เป็นขั้นที่ประชาชนเข้าร่วม ประเมินว่า การพัฒนาที่ได้กระทำไปนั้นสำเร็จตามวัตถุประสงค์เพียงใด ด้านความเข้มแข็งของชุมชน พบว่า ชาวบ้านมีความรักความสามัคคี สามารถดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหัวใจหลักของหมู่บ้านชุมชนเข้มแข็ง ด้านอาชีพ พบว่า มีการสร้างอาชีพให้ชาวบ้านมีการประกอบอาชีพที่สุจริต มีการฝึกอาชีพสงวนของไทยให้กับกลุ่มเยาวชน เพื่อสืบต่องาน ด้านวัฒนธรรมประเพณี พบว่า มีการปลูกฝังวัฒนธรรมประเพณีให้กับเยาวชนรุ่นหลัง เพื่อรักษาอัตลักษณ์ของหมู่บ้าน ด้านการพัฒนา สิ่งแวดล้อม พบว่า มีการดูแลและเอาใจใส่โดยเฉพาะการจัดการด้านขยะมูลฝอยประชาชนให้ความ ร่วมมือในการรักษาความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในชุมชน 2) แนวทางพัฒนาชุมชนเข้มแข็งเชิงพุทธบูรณาการของหมู่บ้านศาลาเม็ง ตำบลท่าผา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง นอกจากการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งแล้วนั้น แนวทางการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งตามหลักธรรม สัปปุริสธรรม 7 ที่นำมาบูรณาการใช้ในการดำเนินการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งอีกด้วย นอกจากส่งเสริมความเข้มแข็งของคนในชุมชนแล้วยังได้บ่มเพาะปูพื้นฐานให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ มีความเข้มแข็งทางจิตสำนึก สามารถสืบสานวัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนในชุมชนให้เข้มแข็งสืบต่อไป 2. การจัดการตนเองอย่างยั่งยืน ยนตรการ จินะคำปา และ ศิวรักษ์ ศิวารมย์ (2560: 183-185) ได้ศึกษากระบวนการพัฒนาต้นแบบชุมชนบริหารจัดการตนเอง: กรณีของตำบลชมภู อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่า มีกระบวนการบริหารชุมชนด้วยการส่งต่อความยั่งยืนของชุมชนโดยมีกระบวนการพัฒนาชุมชนคือ ชุมชนมีเป้าหมาย มีทิศทางในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้สืบทอดไปยังคนรุ่นหลัง มีระบบฐานข้อมูลที่สำคัญของชุมชนที่สามารถนำไปวางแผนและกำหนดแนวทางการพัฒนาจนเกิดแผนพัฒนาชุมชนเอง โดยมีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ในระดับตำบลที่ครอบคลุมในด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ ทรัพยากรธรรมชาติ เด็ก เยาวชน ยาเสพติด สามารถปฏิบัติตามแผนชุมชนร่วมกันของคนในพื้นที่และถูกจัดการแก้ไขตามกระบวนการที่กำหนดไว้ในการพัฒนา เน้นเรื่องการมีส่วนร่วมในการวางแผนการดำเนินงานด้านการพัฒนา และติดตามตรวจสอบอย่างเป็นรูปธรรม ชุมชนมีการจัดการปัญหาในชุมชนโดยใช้ประชาชนเป็นหลัก มีองค์กรชุมชนที่หลากหลายเป็นพื้นฐานของการทำงานด้านการพัฒนา มีการจัดการทุนชุมชนทั้งทุนทรัพยากร ทุนสิ่งแวดล้อม ทุนการเงิน และทุนภูมิปัญญา เกิดระบบสวัสดิการเพื่อสร้างความมั่นคงเพียงพอต่อชีวิต และการอยู่ร่วมกันของชุมชนได้อย่างยั่งยืน เกิดความสัมพันธ์ของกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในท้องถิ่นสร้างกระบวนการขององค์กรชุมชน เกิดการเรียนรู้ และมีแหล่งเรียนรู้ระดับตำบล มีระบบการจัดการความรู้ ทางด้านภูมิปัญญาที่เป็นรูปธรรม มีบทเรียนเพื่อสื่อสารต่อสาธารณะ และชุมชนอื่นต่อไปคนในชุมชนมีความสุข มีความเป็นเจ้าของชุมชน มีระเบียบกฎกติกาการอยู่ร่วมกัน มีความผูกพันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนอย่างสม่ำเสมอ เกิดความสัมพันธ์ในการร่วมกันของทุกคนในชุมชน สร้างระบบการพัฒนาคนจากรุ่นสู่รุ่น มีคนรุ่นใหม่มาสืบทอดต่อเจตนารมณึดตามหลักธรรมาภิบาล ความน่าเชื่อถือในการดำเนินงาน และมีระบบการตรวจสอบการทำงานของชุมชน ที่ทุกคนสามารถสอบถาม ในการพัฒนาชุมชน และหาข้อสรุปได้ โดยแนวคิดการพัฒนาชุมชนบริหารจัดการตนเอง ทำให้ชุมชนเข็มแข็ง ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ ครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข จากกระบวนการเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองประพฤติปฏิบัติจนเกิดความภูมิใจ ส่งผลที่ดีต่อตนเอง และชุมชนที่ตนเองอาศัยอยู่อย่างยั่งยืน ศรายุทธ คชพงค์, บุญโชค บุญมี, ธนัสถา โรจนตระกูล (2563: 192) ได้ศึกษาการจัดการตนเองของชุมชนและท้องถิ่นในภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน พบว่า การจัดการตนเองของชุมชนและท้องถิ่น อีกทั้งเป็นการลดภาระของรัฐบาลในเข้ามาดูแลชุมชนและท้องถิ่นซึ่งกระบวนการจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น มีการจัดการตามภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน 5 ด้าน คือ 1) การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านแผนชุมชน 2) การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านการเกษตร 3) การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4) การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านการเงินชุมชน และ5) การจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่นด้านเศรษฐกิจพอเพียง การจัดการตนเองทั้ง 5 ด้านนี้เป็นการดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในปัจจุบันที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต อีกทั้งจะทำให้ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นมีความคิดอย่างเป็นอิสระในการจัดการตนเองสามารถก่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและทำให้พลังอำนาจของคนกลุ่มคน องค์กรในชุมชนถิ่น พัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายอย่างเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน สุภาวดี เพชรชนะ (2558: บทคัดย่อ) การศึกษาเรื่อง “กระบวนการจัดการตนเองของชุมชนบ้านมั่นคงสวนพลู เขตสาทร กรุงเทพมหานคร” ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนบ้านมั่นคงสวนพลูเดิมเป็นชุมชนแออัดบุกรุกบนที่ดินของกรมธนารักษ์ ต่อมาได้ประสบเหตุอัคคีภัยในชุมชนทำให้คนในชุมชนผู้มีรายได้น้อย ต้องร่วมมือกันในการจัดหาที่อยู่อาศัยเพื่อความมั่นคงของตนเอง จนเกิดการรวมกลุ่มและจัดตั้งเป็นกลุ่มออมทรัพย์ และจดทะเบียนในรูปของสหกรณ์เพื่อยื่นขอกู้เงินสร้างที่อยู่อาศัยกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) โดยมีการสนับสนุนงบประมาณพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในชุมชน เกิดการมีส่วนร่วมในการร่วมมือกันต่อสู้ให้ได้มาซึ่งที่อยู่อาศัยตามความต้องการและสภาพวิถีชีวิตเดิมของชุมชน จนสามารถจัดตั้งเป็นชุมชนใหม่ในชื่อ ชุมชนบ้านมั่นคงสวนพลู มีการประสานงานกับภาคีเครือข่ายภายนอกชุมชน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการสนับสนุนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน โดยชุมชนมีกระบวนการจัดการตนเองในเรื่องของการก าหนดกฎระเบียบของชุมชน การบริหารจัดการชุมชน การรักษาความปลอดภัยในชุมชน และการสนับสนุนกลุ่มในชุมชน ซึ่งในกระบวนการดังกล่าวทั้ง 4 กระบวนการนั้น สามารถทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง โดยส่งผลให้ชุมชนเกิดการมีส่วนร่วม เรียนรู้เพื่อการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และพึ่งตนเองได้ เกิดความรัก ความสามัคคีขึ้นในชุมชน ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันในการบริหารจัดการชุมชน ให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง พึ่งพิงหน่วยงานภายนอกให้น้อยที่สุด และสามารถดูแลตนเองได้อย่างยั่งยืน สมทรง บรรจงธิติทานต์ (2560: บทคัดย่อ) ศึกษาจัดการชุมชนพึ่งตนเองอย่างยั่งยืนกรณีศึกษาบ้านหัวคู ตำบลพระยาบันลือ อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการศึกษาพบว่า เป็นกระบวนการพัฒนาที่ส่งผลสร้างความเข้มแข็ง และยั่งยืนในระดับพื้นที่ ภายหลังหมู่บ้านประสบวิกฤติอุทกภัยน้ำท่วมภาคกลางปลายปี พ.ศ. 2554 แนวทางการจัดการชุมชนพึ่งตนเองอย่างยั่งยืน ได้สร้างพื้นที่ทางสังคมด้านงานพัฒนาชุมชน โดยชาวบ้านจำนวน 37 ครัวเรือน ต่างได้ร่วมกันพลิกฟื้นสถานการณ์ที่เลวร้ายให้หวนคืนกลับสู่สภาพเดิมลักษณะการตั้งรับปรับตัวด้วยวิธีการประยุกต์ ใช้แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน แนวคิดชุมชนเข้มแข็ง และแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นทุนทางสังคมระดับหมู่บ้าน นำมาสร้างกลไกขับเคลื่อนเป็นแนวทางการจัดการปัญหา ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของบ้านหัวคูไม่ต้องล่มสลาย ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งด้านที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน อาชีพ รายได้ ระบบความสัมพันธ์ทางสังคม การสืบสานวัฒนธรรมประเพณีไม่ให้สูญหายไปพร้อมกระแสการพัฒนา เพื่อก้าวไปสู่การสร้างความทันสมัยก็ตาม นายนิพันธ์ บุญหลวง (2561: ก.) ศึกษาแนวทางการจัดการชุมชนต้นแบบบ้านทุ่งศรี จังหวัดแพร่ ผลการวิจัย.พบว่า.ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการจัดการชุมชนและนำไปสู่การเป็นชุมชนต้นแบบของชุมชนบ้านทุ่งศรี หมู่ 3 ตำบลทุ่งศรี อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ ประกอบด้วย 1) ผู้นำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะสร้างสรรค์ชุมชนให้มีความเปลี่ยนแปลง 2) คนในชุมชนที่ต้องมีความเป็นผู้ที่มีจิตสาธารณะ มีความคิดที่จะร่วมมือในการพัฒนา 3) การเรียนรู้ของชุมชน นับเป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชุมชนได้โดยง่าย.4)เครือข่ายและความร่วมมือ.โดยที่ความสำเร็จของชุมชนจะเกิดขึ้นได้ ย่อมต้องอาศัย การสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ภาครัฐต้องสร้างศักยภาพ สร้างการเรียนรู้ สร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน ให้แก่ ผู้นำ และผู้ที่มีจิตอาสาในชุมชน ให้สามารถถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และแนวทางการสร้างพัฒนาหรือจัดการชุมชนให้เกิดเป็นชุมชนเข้มแข็งและพึ่งพาตนเอง พร้อมทั้งต้องสร้างความเป็นเครือข่าย และสร้างความร่วมมือในด้านต่างๆ ให้ชุมชนสามารถพัฒนาพื้นที่ของตนเองได้อย่างไม่มีอุปสรรค หรือปัญหาใดๆ อันจะนำไปสู่ความล้มเหลวของชุมชน ปรเมษฐ์ แสงอ่อน และคณะ (2554: (ค)) ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้ 1) ผู้นำชุมชนต้องไม่เห็นแก่ตัวและพวกพ้อง อ่อนน้อมถ่อมตนให้เกียรติซึ่งกันและกัน 2) ชุมชนมีความรักมีความสามัคคีมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนชุมชน 3) ทางภาครัฐต้องมีกระบวนการส่งเสริมสนับสนุนการจัดทำแผนชุมชนอย่างต่อเนื่อง4) การเดินทางคมนาคมไม่สะดวกและยังขาดไฟฟ้าส่องสว่างตามถนน 5) ในชุมชนขาดงบประมาณในการลงทุน แต่ละครอบครัวในชุมชนไม่มีรายได้เสริมทำให้แต่ละครอบครัวในชุมชนมีหนี้สินนอกระบบมากขึ้น เยาวชนติดยาเสพย์ติดเริ่มระบาดในชุมชน และเยาวชนในชุมชนบางส่วนเดินทางออกไปทำงานต่างพื้นที่ 6) ในชุมชนยังขาดแหล่งน้ำเพื่อทำการเกษตร และน้ำประปาในชุมชนยังไม่พอใช้ทำให้น้ำไม่สะอาด และใน 7) ชุมชนมีขยะมากทำให้เกิดมลพิษในอากาศตามมา 8) พื้นที่ในชุมชนมีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในพื้นที่ แรงงานต่างด้าว และคนต่างด้าวอาศัยปะปนในชุมชนทำให้เยาวชนในพื้นที่เกิดการว่างงาน 9) เมื่อมีสถานประกอบการหรือโรงงานมาตั้งบริเวณชุมชนหรือใกล้เคียง คนในชุมชนจะมุ่งไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมและจะไม่ทำงานของตนเองในภาคการเกษตรเนื่องจากมีรายได้ไม่แน่นอน สิ่งที่คาดหวังของชุมชนที่จะพัฒนาชุมชนของตนเองมีดังนี้ 1) ด้านการพัฒนาคน เยาวชนมีการสืบสานการเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญาชาวบ้าน ภูมิปัญญาของท้องถิ่นและพัฒนาความรู้ความสามารถของคนในชุมชนให้เกิดอัตลักษณ์สู่วิถีการดำรงชีวิตตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) ด้านการพัฒนาพื้นที่ พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ เช่น ชุมชนมีลานกีฬาเพื่อสุขภาพ ระบบสาธารณูปโภคและคนในชุมชนเองช่วยดูแลความปลอดภัยในชุมชนของตนเอง 3) ด้าน การพัฒนาเศรษฐกิจและแหล่งรายได้ ค้นหาศักยภาพอันโดดเด่นของชุมชนของตนเอง ให้ชุมชนมีอาชีพเสริมและรายได้เสริม มีการจัดตั้งกลุ่มชมรมเกษตร มีการจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ในชุมชน มีการทำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพใช้เองภายในชุมชน 4) ด้านการพัฒนาแผนชุมชน มีความสามัคคีเกิดขึ้นในชุมชน จะช่วยกันขับเคลื่อนแผนพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ อยู่ดีกินดี 3. เครือข่ายชุมชมเมือง วรภพ วงค์รอด (2555: 40-41) ได้ศึกษาการจัดการความรู้ของเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดนครสวรรค์ผลการวิจัยการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชน พบว่า แกนนำชุมชนท้องถิ่นเป็นนักจัดการความรู้มีความสามารถในการทำงาน นำแนวคิด หลักการจัดการความรู้ไปประยุกต์ใช้ในครอบครัว งานชุมชนและองค์กร มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ และมีการออกแบบการเรียนรู้การทำงานในองค์กรร่วมกันในระดับชุมชนกลุ่ม องค์กรชุมชนเข้าใจ แนวคิด หลักการการจัดความรู้ ผ่านวิถีชีวิตและสถานการณ์ก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ ส่วนกระบวนการการมีส่วนร่วมของหน่วยงานพบว่าหน่วยงานเกิดขยายผลการจัดการความรู้ เกิดการเรียนรู้ระหว่างภาคีเครือข่ายทั้งนักวิชาการ ภาคประชาสังคมและหน่วยงานในพื้นที่โดยอาศัยการออกแบบการเรียนรู้ การจัดตลาดนัดความรู้ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งงานวิจัยนี้ได้เสนอแนะการพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชนด้านความรู้ ความสามารถในการทำงานการสร้างชุมชนการเรียนรู้การกำหนดยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาที่เน้นการมีส่วนร่วมการประสานการใช้ทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นร่วมกัน และการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเครื่องมือที่หลากหลายสอดคล้องกับบริบทของชุมชนท้องถิ่นและมีความต่อเนื่อง กมลศักดิ์ วงศ์ศรีแก้ว, จิระพงค์ เรืองกุน และสายใจ ชุนประเสริฐ (2557: 46-47) ศึกษาการพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง: กรณีศึกษาชุมชนพูนบำเพ็ญเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัย พบว่า คุณลักษณะชุมชน เข้มแข็งของชุมชนพูนบำเพ็ญสะท้อนได้จากความสามารถในการพึ่งตนเองของชุมชน ความมั่นคงปลอดภัยของชุมชน การมีวิสัยทัศน์ของชุมชน และความรักและหวงแหนชุมชน โดยมีปัจจัยที่นำไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชนพูนบำเพ็ญ ได้แก่ ความสัมพันธ์เชิงสังคมแบบเครือญาติ ลักษณะการเรียนรู้ เพื่อชีวิตของคนในชุมชน เครือข่ายของชุมชน ผู้นำตามธรรมชาติ และลักษณะเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองของชุมชน ข้อเสนอเพื่อการพัฒนาชุมชนพูนบำเพ็ญไปสู่ชุมชนยั่งยืน ได้แก่ สานต่อการอนุรักษ์พื้นที่เกษตร ปลูกจิตสำนึกผู้เข้ามาใหม่ การสรรสร้างกิจกรรมการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง การดำเนินการประชาสัมพันธ์ชุมชนเชิงรุก และมุ่งเฟ้นหากลุ่มผู้นำรุ่นใหม่ สร้างเครือข่ายสานต่อภารกิจ ทาริตา แตงเส็ง, ณัฐวิภา ทองรุ่ง และ กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์ (2563: 239) ศึกษาการพัฒนาชุมชนมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยลดช่องว่างทางสังคมและขจัดปัญหาความยากจนในชุมชนให้ลดน้อยลง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐบาล เอกชน องค์กรชุมชน นักวิชาการ และองค์กรธุรกิจ เพื่อขจัดปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นไป การพัฒนาชุมชนตามแนววิถีพุทธที่มีผลต่อการพัฒนาชุมชนของท้องถิ่นใน 5 ประเด็น คือ 1) การจัดการชุมชนบนวิถีแห่งความเป็นจริง 2) การจัดการชุมชนเพื่อประโยชน์ในการด าเนินชีวิต 3) การจัดการชุมชนบนพื้นฐานความถูกต้อง 4) การจัดการชุมชนบนพื้นฐานความสบายใจ และ 5) การจัดการชุมชนบนพื้นฐานความความสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชน ทั้ง 5 ประเด็นนี้ เพื่อเป็นหลักในการพัฒนาชุมชนให้คนในชุมชนเป็นคนดี รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง มีความขยันในการหาและรักษาทรัพย์ รวมทั้งเป็นสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปันความรู้ถ่ายทอด ขนบธรรมประเพณีศิลปวัฒนธรรม และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อกันเพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ว่าที่ร้อยตรีรพีภัทร์ สุขสมเกษม (2559: (2)) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนกรณีศึกษาชุมชนในเขตเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ผลของการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนในเขตเทศบาลนครปากเกร็ด พบว่าปัจจัยที่ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน ในเขตเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี คือ 1) ปัจจัยผู้นำชุมชนอุทิศตนและมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี 2) ปัจจัยสมาชิกในชุมชนยอมรับบทบาทของกรรมการชุมชน 3) ปัจจัยชุมชนมีกระบวนการบริหารงานในชุมชนที่ชัดเจน 4) ปัจจัยชุมชนมีศักยภาพในการพึ่งพาตนเองสูง 5) ปัจจัยชุมชนได้รับการจัดสรรงบประมาณจากเทศบาล 6) ปัจจัยชุมชนมีลักษณะพื้นที่ทางกายภาพที่เอื้ออำนวยต่อการรวมกลุ่ม 7) ปัจจัยชุมชนกับเทศบาลมีความร่วมมือกัน และปัญหาอุปสรรคที่มีต่อผลต่อการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน คือ (1) ยังขาดการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐอื่นๆ ในพื้นที่ และ (2) การกำหนดกรอบในการใช้งบประมาณสำหรับเงินอุดหนุนชุมชนยังมีจำกัดข้อเสนอแนะต่องานวิจัย (1) การจัดสรรเงินอุดหนุนให้กับชุมชนของเทศบาลจะทำให้ชุมชนได้เรียนรู้การทำงานโดยการพึ่งพาตนเองของชุมชน (2) การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในบทบาทของตำแหน่งคณะกรรมการชุมชน และอำนาจหน้าที่ของเทศบาล จะทำให้การทำงานของคณะกรรมการชุมชนมีบทบาทที่ชัดเจนมากขึ้น และทำให้กรรมการชุมชนสามารถทำหน้าที่ได้ตามที่ได้รับมอบหมายได้ดี ได้รับการยอมรับจากสมาชิกในชุมชน เกิดความมั่นใจในการทำงานของคณะกรรมการชุมชนมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความสุขแก่สมาชิกในชุมชนและคณะกรรมการชุมชน พัชราวลัย ศุภภะ (2561: 69) ได้ศึกษาเครือข่ายการพัฒนาความเป็นเมืองของชุมชนต้นแบบในองค์กรชุมชน ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนในตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นการบริหารชุมชนท้องถิ่นขนาดใหญ่ สภาพพื้นที่ของตำบลไร่ขิง มีสภาพพื้นที่ราบลุ่มมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านและมีลำคลองหลายสาย จึงเหมาะสมแก่การประก อบอาชีพด้านเกษตรกรรม เดิมประชากรส่วนใหญ่ใช้พื้นที่เกษตร เช่น สวนผลไม้ สวนผัก ต่อมาเมื่อมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาในด้านต่างๆ สู่ความเป็นชุมชนเมืองโดยการร่วมกันพัฒนาทั้งจากทางภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันทางสังคมอื่นๆ เป็นเครือข่ายพหุภาคีร่วมกันพัฒนาชุมชนตำบลไร่ขิง โดยการใช้วัดเป็นศูนย์กลางแห่งการพัฒนา การพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากชุมชนชนบทที่มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักก้าวไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นชุมชนเมือง โดยการมีส่วนร่วมจากองค์กรต่างๆ จนเกิดเป็นเครือข่ายเกิดขึ้นเพื่อที่จะพัฒนาชุมชนร่วมกัน โดยอาศัยทุนพลังท้องถิ่นคือ ทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทุนทางสังคม และวัฒนธรรม ทุนทางความรู้ และทุนทางเศรษฐกิจ ที่มีอยู่ในชุมชน จึงทำให้เกิดการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลงจากชุมชนชนบทสู่ความเป็นชุมชนเมือง โดยความร่วมมือของทุกๆ ฝ่ายในตำบลไร่ขิง พระดาวเหนือ บุตรสีทา (2557: บทคัดย่อ) ได้ศึกษา การสร้างเครือข่ายและการจัดการเครือข่ายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของชุมชนบ้านพบธรรมนําสุข อำเภอท่งเสลียม จังหวัดสุโขทัย ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบเครือข่ายของชุมชนบ้านพบธรรมนําสุข มี 2 รูปแบบ คือ 1) เครือข่ายระดับชุมชน/เครือข่ายเชิงพื้นที่และ 2) เครือข่ายระดับบุคคล โดยมีการรวมกลุ่มกันของบุคคล กลุ่มบุคคลที่มีความสนใจมาทำกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาร่วมกันและเสริมสร้างความรัก ความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน สำหรับขึ้นตอนการสร้างรูปเครือข่ายนั้นมี 5 ขั้นตอน ดังนี้ี (1) ตระหนักถึงปัญหาและสำนึกการรวมตัวเป็นเครือข่าย (2) มีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกัน (3) สร้างความไว้วางใจ (4) การแสวงหาแกนนำที่ดี (5) การสร้างแนวร่วมสมาชิกเครือข่าย แนวทางการจัดการเครือข่ายมีการจัดการใน 2 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1) การสร้างความเป็นองค์การเครือข่ายและการทำให้เกิดความมั่นคง ประกอบด้วย (1) จัดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในเครือข่าย (2) สร้างความรู้สึกร่วมในการทำงานร่วมกัน (3) จัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน (4) จัดระบบข้อ มูลข่าวสารในการติดต่อข่าวสาร และ ขั้นที่ 2) การรักษาความต่อเนื่องของการเป็นองค์การเครือข่าย ประกอบด้วย (1) มีการดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง (2) สร้างความเสมอภาคและเท่าเทียม (3) รักษาสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน (4) การให้ความช่วยเหลือกันระหว่างเพื่อนสมาชิกปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการจัดการเครือข่าย ประกอบด้วย การขาดแคลนบุคลากรในการทำงาน สิ่งปลูกสร้างที่ใช้ในการฝึกอบรมไม่มีความมั่นคง งบประมาณในการสนับสนุนไม่เพียงพอ ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นของหน่วยงานภาครัฐ และนำท่วมสถานที่ทำกิจกรรม นฤมล ดำอ่อน (2562: บทคัดย่อ) ศึกษารูปแบบการจัดการเครือข่ายชุมชนเพื่อความมั่นคงทางอาหา ผลการวิจัย พบว่า 1) กระบวนการจัดการเครือข่ายชุมชนเพื่อความมั่นคงทางอาหาร ประกอบด้วย ขั้นตระหนักถึงปัญหาและสำนึกรวมตัวเป็นเครือข่าย ขั้นสร้างพันธสัญญาร่วมกัน ขั้นการบริหารจัดการเครือข่าย ขั้นการพัฒนาความสัมพันธ์ และขั้นการรักษาความสัมพันธ์และความต่อเนื่อง 2) ปัจจัย เงื่อนไขความสำเร็จ ปัญหา อุปสรรคของการจัดการเครือข่ายชุมชนเพื่อความมั่นคงทางอาหาร คือ (1) /เงื่อนไขความสำเร็จ ประกอบด้วย (1.1) ปัจจัยเงื่อนไขภายใน ได้แก่ วิกฤต/ปัญหาเกี่ยวทรัพยากรธรรมชาติ ผู้นำ สมาชิกในชุมชน การบริหารจัดการที่ดี การมีส่วนร่วม ทุนชุมชน ผลประโยชน์/สิ่งจูงใจการจัดการข้อมูล มีกิจกรรม แหล่งเรียนรู้ (1.2) ปัจจัยภายนอก ได้แก่ การส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (2) ปัจจัย/เงื่อนไขที่เป็นอุปสรรค ประกอบด้วย (2.1) ปัจจัยภายใน ได้แก่ สภาพแวดล้อมของชุมชน ฐานะทางเศรษฐกิจ ความคิดและความเชื่อส่วนบุคคล การเข้าร่วมกิจกรรม ขาดงบประมาณ การศึกษาน้อย (2.2) ปัจจัยภายนอก ได้แก่ นโยบายของรัฐ อิทธิพลของกระแสสังคมและค่านิยมจากภายนอกชุมชน 3) รูปแบบการจัดการเครือข่ายควรประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ (1) รับรู้และตระหนักถึงสถานการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร (2) วิเคราะห์สถานการณ์ กำหนดเป้าหมายและสร้างกฎ ระเบียบร่วมกัน (3) การบริหารจัดการเครือข่ายและปฏิบัติตามแนวแนวทางด้วยกัน (4) การพัฒนาและปรับสู่วิถีชุมชนและ (5) การรักษาความต่อเนื่องและขยายกลุ่ม/เครือข่าย และองค์ประกอบที่สำคัญของรูปแบบการจัดการเครือข่ายชุมชนเพื่อความมั่นคงทางอาหาร คือ (5.1) สมาชิก/ผู้นำ (5.2) เป้าหมาย/วัตถุประสงค์ (5.3) กิจกรรมของเครือข่ายชุมชน (5.4) การบริหารจัดการเครือข่าย (5.5) การประชาสัมพันธ์/การสื่อสาร และ (5.6) ทุน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผ่านการประเมินและรับรองโดยผลการประเมินทุกด้านได้ค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3.70-4.10 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ระหว่าง .31-.56 ประณีต ส่งวัฒนา และคณะ (2559: 56) ศึกษาการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายชุมชนเมืองในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกลุ่มเปราะบาง: กรณีศึกษาหาดใหญ่ ผลการวิจัย พบว่าปัจจัยที่เป็นต้นทุนสู่ความสำเร็จในการพัฒนาระบบเครือข่ายชุมชนเมือง คือ อสม. โดยมีมากกว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมโครงการ (ร้อยละ 55.7) เป็นผู้ที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมซ้ำซาก ทุกคนมีจิตอาสาที่จะช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในชุมชน และมีแผนงานช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางเป็นรายบุคคล ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ศูนย์สาธารณสุขในแต่ละชุมชนซึ่งมีประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มีการควบคุมกำกับและซ้อมแผนการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางร่วมกับอสม.อยู่เป็นประจำเทศบาลมีแหล่งสนับสนุนด้านงบประมาณ มีการจัดตั้งบ้านพี่เลี้ยง มีแผนงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่บรรจุอยู่ในแผนประจำปีชัดเจน และจัดให้มีการซ้อมแผนการช่วยเหลือทุกปีส่วนปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาระบบเครือข่ายชุมชนเมือง คือสัดส่วนของอสม.ในแต่ละชุมชนยังไม่เหมาะสม การประสานระหว่างหน่วยงานต่างๆยังไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจนอสม.เพียงร้อยละ 19.4 มีประสบการณ์ให้การปฐมพยาบาลแก่ผู้ประสบอุทกภัย และอสม.เกินครึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการปฐมพยาบาล (ร้อยละ 59.3) ไม่มีประสบการณ์การเป็นบ้านพี่เลี้ยง(ร้อยละ 54.6) และ ไม่มีประสบการณ์ในการอพยพกลุ่มเปราะบางในชุมชน (ร้อยละ 63.0) จึงมีความต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมในเรื่องการปฐมพยาบาลกลุ่มเปราะบางหลายเรื่อง อย่างไรก็ตาม ความรู้และทักษะของอสม.หลังเข้าร่วมโครงการการพัฒนาศักยภาพอสม.ในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกลุ่มเปราะบาง สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการ (p<.05) สรุปได้ว่ารูปแบบการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายชุมชนเมืองเป็นการขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือจากสามภาคีมีอสม.เป็นต้นทุนหลักสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ สุวิมล โขมโนทัย (2560: (1)-(2)) ศึกษาการร่วมมือกันระหว่าง บ้าน วัด และโรงเรียน ในการพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธ ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการการจัดการเรียนการสอนตามแนวโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ สู่การเป็นโรงเรียนวิถีพุทธในระดับที่สูงขึ้นนั้น มีความพิเศษต่างจากโรงเรียนทั่วไป โดยการสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมในกระบวนการการจัดการเรียนการสอนทุก ๆ วิชา และการร่วมมือระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน รวมถึงภาคส่วนอื่นโดยสมัครใจอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านตัวแสดงจากหลายภาคส่วน คือ ปัจจัยที่ทำให้โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ สามารถพัฒนาและได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนวิถีพุทธในระดับที่สูงขึ้นได้ ซึ่งมีความสอดคล้องกับแนวคิดการบริหารปกครอง (Governance) ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ การศึกษาด้านโครงสร้าง พบว่า โรงเรียนที่เป็นตัวอย่างโรงเรียนวิถีพุทธต้นแบบมีโครงสร้างในการดำเนินงาน บทบาทและหน้าที่ของผู้มีส่วนร่วมในโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ เป็นแบบเครือข่ายความร่วมมือระหว่างกัน โดยสมัครใจที่จะให้ความร่วมมือ ซึ่งแต่ละฝ่ายไม่ได้มีบทบาทและหน้าที่ที่ชัดเจน ส่วนโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธในนครราชสีมา พบว่า มีโครงสร้างในการดำเนินงาน บทบาทและหน้าที่ของผู้มีส่วนร่วมในโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ เป็นไปโดยความสมัครใจและขอความร่วมมือ การศึกษาด้านการจัดการเรียนการสอน พบว่า โรงเรียนที่เป็นตัวอย่างโรงเรียนวิถีพุทธต้นแบบ มีการจัดการเรียนการสอนแบบการศึกษาทางเลือก มีการพัฒนาหลักสูตรระดับประถมศึกษา เป็นของตนเอง เน้นการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาผนวกเข้าไปในการจัดการเรียนการสอน ส่วนโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธในนครราชสีมา มีการจัดการเรียนการสอนแบบปกติทั่วไป ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักแล้วสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมเข้าไปในทุกสาระวิชาการศึกษาด้านลักษณะความร่วมมือ พบว่า ลักษณะความร่วมมือของผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ มีรูปแบบความสัมพันธ์กัน แบบที่แต่ละฝ่ายไม่ได้มีบทบาทและหน้าที่ที่ชัดเจน แต่เป็นไปโดยความสมัครใจที่จะให้ความร่วมมือ โดยมีความร่วมมือระหว่าง บ้าน วัด และโรงเรียน ผ่านการนำคุณธรรมจากวัดเข้ามาใช้ในโรงเรียน เข้ามาใช้ในการเรียนการสอน และการร่วมทำกิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่บ้าน วัด และโรงเรียนจัดขึ้น ข้อเสนอแนะจากการวิจัย พบว่า หน่วยงานที่ดูแลโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ควรประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโครงการให้ชัดเจนและดำเนินการในเชิงรุกมากกว่าขึ้น และ จากการศึกษาวิจัยสะท้อนให้เห็นจุดเด่นในการพัฒนาโรงเรียนแต่ละแห่งผ่านบทบาทการมีส่วนร่วมของบ้าน วัด และโรงเรียนที่แตกต่างกัน กล่าวคือ โรงเรียนที่เป็นตัวอย่างโรงเรียนวิถีพุทธต้นแบบ ได้ผลเป็นอย่างดี ก็เพราะบ้าน (เด็กนักเรียน) มีอาชีพที่มั่นคงและฐานะดี พ่อ แม่ ผู้ปกครอง มีเวลามาเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางโรงเรียนรวมถึงวัดจัดขึ้นโดยตรงด้วยตัวเองได้ ส่วนกิจกรรมหิ้วปิ่นโตไปวัดนั้น อาจเหมาะกับบ้าน (เด็กนักเรียน) ที่มีฐานะขัดสนยากจน เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ทางบ้านคือ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ไม่มีเวลามาเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางโรงเรียนรวมถึงวัดจัดขึ้น โดยตรงด้วยตัวเองได้ จึงเกิดมีกิจกรรมหิ้วปิ่นโตไปวัดขึ้นมา เพื่อให้บ้านที่มีฐานะขัดสนยากจน สามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมทางอ้อม โดยผ่านการทำกับข้าวและจัดเตรียมปิ่นโตอาหาร แล้วมอบให้บุตรหลานนำมาถวายเพลพระร่วมกับโรงเรียน ซึ่งนักเรียนก็ได้รับประทานข้าวปลาอาหารที่ทางบ้านจัดใส่ปิ่นโตมาให้นั้นด้วย ถือเป็นการกระชับสัมพันธ์ เกิดความผูกพัน สานสัมพันธ์ในครอบครัว และถือเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของชีวิต ยุรธร จีนาและ รมิตา จีนา (2560: 47-48) ศึกษาบวรสันติสุข : รูปแบบการมีส่วนร่วมของบ้าน วัด โรงเรียนในการส่งเสริมคุณธรรมค่านิยม 12 ประการจังหวัดเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า 1) โครงการบวรสันติสุข เกิดจากแนวคิดการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกในศตวรรษที่ 21 ของคณะสงฆ์ตำบลแม่สา โดยปรับให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชนและยุคสมัยปัจจุบันเน้นการมีส่วนร่วมของบ้าน วัด โรงเรียน 2) รูปแบบการมีส่วนร่วมของบ้าน วัด โรงเรียน ในการส่งเสริมคุณธรรมค่านิยม 12 ประการในโครงการบวรสันติสุข มีการบูรณาการในชุมชนทุกหน่วยงาน เพื่อสนับสนุนตามบทบาทหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบ โดยเป็นไปตามนโยบายของคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) 3) แนวปฏิบัติที่ดีในการส่งเสริมคุณธรรมค่านิยม 12 ประการโครงการบวรสันติสุข อาศัยหลัก 5 บ. ได้แก่ (1) บารมีผู้นำ (2) บำเพ็ญทำด้วยจิตอาสา (3) บวรชนสนทนา (4) บูรณาการสัมพันธ์ และ (5) บริหารความยั่งยืน ซึ่งจะเป็นต้นแบบของชุมชนที่สนใจ นำไปใช้ส่งเสริมคุณธรรมค่านิยม 12 ประการ เพื่อให้บ้าน วัด และโรงเรียน เป็นองค์กรหลักแห่งการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมในชุมชนอย่างยั่งยืนสืบไป นุชา สระสม (2560: ง) ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะการมีส่วนร่วมใน “การบริหารแบบบ้าน วัด โรงเรียน” ของโรงเรียนวัดพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ซึ่งเป็นโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร มี 5 ลักษณะ 1) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยยึดหลักความอาวุโส 2) การมีส่วนร่วมในการวางแผนการด าเนินงานโดยให้เกียรติผู้ที่มีบารมีหรือผู้ที่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ 3) การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติและดำเนินการตามความเชื่อและความศรัทธาในพระพุทธศาสนา 4) การมีส่วนร่วมในการประสานประโยชน์ร่วมกัน 5) การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผลแบบกัลยาณมิตร โดยมีผลความสำเร็จของการมีส่วนร่วมใน “การบริหารแบบบ้าน วัด โรงเรียน” ของโรงเรียนวัด สังกัดกรุงเทพมหานคร คือ 1) การส่วนร่วมใน “การบริหารแบบบ้าน วัด โรงเรียน” ของโรงเรียนวัดพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียน คือ โรงเรียนจัดการศึกษาได้มาตรฐาน ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการประกันคุณภาพโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ดังนี้ ด้านนักเรียน ด้านการจัดการศึกษา ด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ และด้านอัตลักษณ์ของสถานศึกษา 2) การมีส่วนร่วมใน “การบริหารแบบบ้าน วัด โรงเรียน” ของโรงเรียนวัดพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เป็นไปตามความคาดหวังของชุมชน ยุรนันท์ ตามกาล (2557: บทคัดย่อ) ศึกษา บ้าน วัด โรงเรียนกับการใช้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงในการส่งเสริมความเข้มแข็งของครอบครัว ผลการศึกษาพบว่า วิธีการและเนื้อหาการส่งเสริมความเข้มแข็งของครอบครัวที่บ้าน วัด โรงเรียน มีนั้น มักเป็นลักษณะของการส่งเสริมตามภาระหน้าที่บทบาทของสถาบัน ส่วนใหญ่เป็นไปตามนโยบายของรัฐอยู่แล้ว จึงทำให้มีวิธีการและเนื้อหาเหมือนหรือใกล้เคียงกันทุกพื้นที่ ทั้ง 4 พื้นที่ 8 ชุมชน และยังไม่ได้มีนโยบายที่เชื่อมโยงกับมาตรฐานครอบครัวเข้มแข็งอย่างชัดเจน ในประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างการใช้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงกับการส่งเสริมความเข้มแข็งครอบครัวนั้น ไม่พบความเชื่อมโยงดังกล่าวในลักษณะที่เป็น “ความตั้งใจ” หรือ “นโยบาย” ในระดับชุมชนที่จะใช้หลักวิถีเศรษฐกิจพอเพียงมาช่วยส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็งของครอบครัว แต่ที่พบว่ามีอยู่แล้วในชุมชนในพื้นที่ที่ศึกษาคือ ผลผลิตและผลพลอยได้ของวิถีเศรษฐกิจพอเพียงในรูปของกิจกรรมทางการเกษตรหรือกิจกรรมอื่นๆ ไปช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของครอบครัวในบางประการ ซึ่งในผลการศึกษายังพบปัญหาและอุปสรรคของการที่ บ้าน วัด โรงเรียน จะใช้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงในการส่งเสริมความเข้มแข็งของครอบครัวด้วย และตอนท้ายของการศึกษาได้เสนอแนวทางการใช้วิถีเศรษฐกิจพอเพียงในการส่งเสริมความเข้มแข็งของครอบครัวสำหรับ บ้าน วัด และโรงเรียน ซึ่งมีที่มาจากการสนทนากลุ่มร่วมกันของบุคลากรทั้งสามสถาบันคำสำคัญ : บวร, บ้าน วัด โรงเรียน, วิถีเศรษฐกิจพอเพียง, ความเข้มแข็งของครอบครัว อรุณี อินทรไพโรจน์ และคณะ (2563: มปน.) ศึกษาชุดโครงการ บทบาทของบ้าน วัด โรงเรียน (บวร) ในการสร้างคนไทย 4.0. ผลการศึกษาพบว่า เด็กแว้นส่วนใหญ่ทำพฤติกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม ลักษณะทางกายภาพของเด็กแว้นพบว่าส่วนใหญ่ ถ่อย เถื่อน กร่าง เป็นอันธพาล ฐานะไม่ดี อาศัยอยู่ในสลัม มีปัญหาด้านการเรียน ไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ปัญหาเด็กแว้นส่วนใหญ่เกิดในแถบเมืองมากกว่าชนบท เช่น กรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมาเป็นชลบุรี ปัญหาเด็กแว้นส่วนใหญ่เกิดในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง เด็กแว้นส่วนใหญ่สร้างปัญหาในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ช่วงเวลาค่ำถึงดึก นอกจากนี้ยังพบว่าเด็ก แว้นส่วนใหญ่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเสพยาเสพติด และทำร้ายร่างกายคนอื่น เมื่อเด็กแว้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มจะมีพฤติกรรมข้างเคียงในทางไม่ดีโดยทำให้คนอื่นเดือดร้อน บาดเจ็บ หรือได้รับความเสียหายมากกว่าเด็กแว้นรายบุคคล ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาเด็กแว้นพบว่าทำให้ตนเองเสียชีวิต สร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่น และเกิดความไม่ปลอดภัยในสังคม ส่วนใหญ่ผู้คนรู้สึกรังเกียจเด็กแว้น เห็นว่าเด็กแว้นเป็นพวกกากเดนขยะสังคม เป็นพวกตลาดล่าง มีเพียงส่วนน้อยที่เห็นว่าเด็กแว้นสามารถกลับใจมาเป็นคนดีของสังคมได้ ในด้านข้อเสนอแนะ ในการแก้ปัญหาเด็กแว้นพบว่าส่วนใหญ่ต้องการให้มีการจับกุมเด็กแว้น รองลงมาให้ลงโทษเด็กแว้นถึงตายด้วยวิธีการต่างๆ จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แนวคิดพุทธวิถีเน้นการพัฒนาจิตใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับตนเองและผู้อื่น โดยใช้หลักการและปฏิบัติตามหลักธรรมพระพุทธศาสนาเพื่อสร้างความสงบและความสุขในชีวิต และพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และคุณค่าทางสังคม การจัดการตนเองของชุมชนในแนวคิดพุทธวิถีเน้นการพัฒนาและดูแลตนเองให้เป็นที่พึงแก่ตนเองและผู้อื่น เจริญรุ่งเรืองในหน้าการงาน ซึ่งประกอบด้วยการสร้างการเตรียมความพร้อมใจ พัฒนาจิตใจและพัฒนาสติปัญญา เครือข่ายชุมชนเมืองเป็นแนวคิดที่เน้นการสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างประชากรในชุมชนและองค์กรในเมือง เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการดำเนินชีวิตที่ยั่งยืนและเพิ่มประสิทธิภาพในพื้นที่ชุมชนเมือง โดยเน้นการสร้างสัมพันธภาพและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล องค์กรภาคเอกชน องค์กรภาครัฐ และหน่วยงานสาธารณะ การจัดการตนเองของชุมชนในแนวคิดเครือข่ายชุมชนเมืองเน้นการสร้างความรับผิดชอบทางสังคมของประชากรในการดูแลและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาชุมชน โดยเน้นการสนับสนุนกิจกรรมทางสังคม เช่น การศึกษา การสร้างอาชีพ การพัฒนาทักษะการดำเนินชีวิต และการสนับสนุนในด้านสุขภาพ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม และการสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดถึงการแก้ไขปัญหาในชุมชน ดังนั้น แนวคิดพุทธวิถีและเครือข่ายชุมชนเมืองเป็นแนวทางที่สอดคล้องกันในการสร้างความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนในชุมชนและในชีวิตประจำวันของบุคคลในชุมชนนั้นๆ จึงทำให้ผู้วิจัยสนใจสร้างนวัตกรรมรูปแบบพุทธวิถีการจัดการตนเองของเครือข่ายชุมชนเมือง จังหวัดนครสวรรค์
ทฤษฎี สมมุติฐาน กรอบแนวความคิด :-
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :-
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :-
จำนวนเข้าชมโครงการ :120 ครั้ง
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ
ชื่อนักวิจัยประเภทนักวิจัยบทบาทหน้าที่นักวิจัยสัดส่วนปริมาณงาน(%)
นายธนสิทธิ์ คณฑา บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยหัวหน้าโครงการวิจัย100

กลับไปหน้าโครงการวิจัยทั้งหมด