รหัสโครงการ : | R000000546 |
ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) : | การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษา บ้านเนินถ่าน หมู่ที่ 6 ตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท |
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) : | riving the sufficiency economy in the sustainable economic development of the Community Foundation. A case study of ban Noen charcoal Moo 6, Tiger, Amphoe Mueang, Chai |
คำสำคัญของโครงการ(Keyword) : | เศรษฐกิจพอเพียง , การพัฒนาอย่างยั่งยืน , การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน |
หน่วยงานเจ้าของโครงการ : | คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ > สาขาวิชาสังคมวิทยา |
ลักษณะโครงการวิจัย : | โครงการวิจัยเดี่ยว |
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย : | ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย |
ประเภทโครงการ : | โครงการวิจัยใหม่ |
สถานะของโครงการ : | propersal |
งบประมาณที่เสนอขอ : | 60000 |
งบประมาณทั้งโครงการ : | 60,000.00 บาท |
วันเริ่มต้นโครงการ : | 30 พฤศจิกายน 2563 |
วันสิ้นสุดโครงการ : | 29 พฤศจิกายน 2564 |
ประเภทของโครงการ : | การวิจัยและพัฒนา |
กลุ่มสาขาวิชาการ : | สังคมศาสตร์ |
สาขาวิชาการ : | สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ |
กลุ่มวิชาการ : | อื่นๆ |
ลักษณะโครงการวิจัย : | ระดับชาติ |
สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ : | ไม่สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ |
สร้างความร่วมมือประหว่างประเทศ GMS : | ไม่สร้างความร่วมมือทางการวิจัยระหว่างประเทศ |
นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา : | ไม่นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาณภาพการศึกษา |
เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต : | ไม่เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต |
ความสำคัญและที่มาของปัญหา : | ในปัจจุบันโลกของเราต้องเผชิญกับวิกฤตต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือแม้กระทั่ง ชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่อาจจะปฏิเสธความวุ่นวายของสังคมโลกได้ทุกประเทศต่าง ต้องการที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งการพัฒนาประเทศมีทั้งผลดีและผลเสีย ประเทศไทยก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังก้าวไปสู่ประเทศพัฒนา ทำให้คนในประเทศเริ่มที่จะทิ้งความเป็นอยู่ที่เป็นไทยของเราไป หันไปเน้นภาคอุตสาหกรรม ติดวัตถุนิยม ชอบความฟุ้งเฟ้อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแทบจะทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีทั้งทางบวกและทางลบ ทางบวกทำ ให้มีการพัฒนาใน ด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข สาธารณูปโภค เป็นต้น แต่กระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นยัง ได้ส่งผลทางด้านลบตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบท ส่งผลให้ชนบทเกิดความ อ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาด ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญา ความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสั่งสมกันมาถูกปรับเปลี่ยน ถูกลืมเลือนหายไป ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความพอเพียงในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเองและดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความต้องการต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือนซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฏการณ์ได้เป็นอย่างดี (มูลนิธิชัยพัฒนา, เศรษฐกิจพอเพียงทฤษฎีใหม่, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http22www.Chaipat. or.th, [15 มกราคม 2563].
หน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือแม้แต่องค์กรพัฒนาเอกชน ได้น้อมนำเอาพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้เป็นหนึ่งแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศ โดยการพัฒนาเศรษฐกิจให้ลึกถึงระดับรากหญ้าคือชุมชนและท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลจึงได้กำหนดแนวทางในการจัดทำแผนงานโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้ สร้างโอกาสให้เกิดการจ้างงานในประเทศ สร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก เสริมสร้างศักยภาพของคนให้มีความรู้ทักษะและฝีมือแรงงานเพื่อขึ้น ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงของการผลิตต่อเนื่องภายในประเทศ รวมทั้งสนับสนุนการผลิตและการบริการที่จะก่อให้เกิดรายได้เงินตราต่างประเทศ
การดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริมีความเห็นว่า ระบบเศรษฐกิจพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการทฤษฎีใหม่ 3 ขั้น ขั้นที่ 1 การผลิตเป็นการผลิตให้พึ่งตนเองได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ค่อยเป็นค่อยไปตามกำลังให้พอมีพอกินไม่อดอยาก ขั้นที่ 2 รวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ร่วมแรงในการผลิต การตลาด การเป็นอยู่ สวสัดิการ การศึกษา สังคมและศาสนา เพื่อให้พอมีพอกิน มีใช้ช่วยให้ชุมชนและสังคมดีขึ้นไปพร้อม ๆ กัน ขั้นที่ 2 ร่วมมือกับแหล่งพลังงานตั้งและบริการโรงสี ตั้งและบริการร้านสหกรณ์ช่วยกันลงทุน ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบท ไม่ใช่ทำอาชีพเกษตรอย่างเดียว และระบบเศรษฐกิจพอเพียงน่าจะนำมาใช้เป็นแบบอย่างของการพัฒนาประเทศไทย
การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาวต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องและเป็นไปตามหลักการ “ความเพียงพอ” ที่มุ่งใช้ “ความมีเหตุผล” พิจารณาเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องและคำนึงถึงผลที่จะได้รับอย่างรอบคอบพัฒนาด้วย “ฐานความรู้” ทั้งจากภายนอกและที่สั่งสมภายในประเทศ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากกระแสโลกาภิวัตน์ได้อย่างชาญฉลาดและรู้เท่าทัน จากการวิเคราะห์และทำความเข้าใจในสถานะของประเทศที่เป็นไปอย่างรอบคอบระมัดระวังไม่ก่อให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเช่นในอดีต หากแต่จะใช้จุดแข็งการผลิตที่มีเพื่อสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและประเทศไทยมีความได้เปรียบโดยภาคเกษตรของไทยจะพัฒนาเป็นฐานอาหารที่มีความปลอดภัยและเพียงพอ ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเคลื่อนสู่ระดับห่วงโซ่มูลค่าที่สูงขึ้น ภาคบริการอาศัยจุดแข็งทางด้านความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นไทยเป็นแนวทางในการพัฒนา
กระบวนการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ควรเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เริ่มจากการพึ่งตนเองในระดับครอบครัวในเรื่องปัจจัยสี่แล้วจึงพัฒนาตนเองให้สามารถอยู่ได้อย่างพอเพียง ด้วยการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้และอดออมให้พอมีพอกินพอใช้ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น แก้ไขปัญหาตามเหตุและปัจจัยด้วยความสามารถและศักยภาพที่ตนเองมีอยู่ก่อนคิดพึ่งผู้อื่น เมื่อมีความเข้มแข็งและเป็นอิสระแล้ว จึงพัฒนาขึ้นมาเป็นการแลกเปลี่ยนในขั้นพึ่งพากันและกัน นำไปสู่การรวมกลุ่มกันในระดับชุมชนและท้องถิ่น และทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม โดยมีการจัดการความรู้และกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน ให้ค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตนเอง ได้รับอำนาจและสิทธิในการเข้าถึงและจัดการทรัพยากรสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระ และจัดการทุนของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นเพื่อบรรเทาปัญหาความยากจนในชุมชน และมีธรรมาภิบาลในการจัดการองค์กรชุมชนท้องถิ่นจนสามารถพึ่งตนเองในระดับชุมชนท้องถิ่น แล้วจึงพัฒนาเครือข่ายสู่ภายนอกกับชุมชนอื่นแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ได้ยึด “หลักการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดความเหลื่อมล้ำและขับเคลื่อนการเจริญเติบโต จากการเพิ่มผลิตภาพการผลิตบนฐานของการใช้ภูมิปัญญาและนวัตกรรม” แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 มุ่งเน้นการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความครอบคลุมทั่วถึงเพื่อเพิ่มขยายฐานกลุ่มประชากรชั้นกลางให้กว้างขึ้น โดยกำหนดเป้าหมายในการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ โอกาสทางสังคม และรายได้ของกลุ่มประชากรรายได้ต่ำสุดร้อยละ 40 ให้สูงขึ้น นอกจากนี้การเพิ่มผลิตภาพการผลิตบนฐานของการใช้ภูมิปัญญาและพัฒนา นวัตกรรมนับเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาในระยะต่อไปสำหรับทุกภาคส่วนในสังคมไทย โดยที่เส้นทางการพัฒนาที่มุ่งสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นกำหนดเป้าหมายทั้งในด้านรายได้ ความเป็นธรรม การลดความเหลื่อมล้ำและขยายฐานคนชั้นกลาง การสร้างสังคมที่มีคุณภาพและมีธรรมมาภิบาลและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน กรณีศึกษา บ้านเนินถ่าน หมู่ที่ 6 ตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เป็นอีกหนึ่งพื้นที่มีการขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนโดยการนำองค์ความรู้ด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาส่งเสริมให้เกิดกระบวนการพัฒนาชุมชนที่เป็นรูปธรรมและเป็นพื้นที่ตัวอย่างในการไม่หยุดนิ่งในการจัดการตนเองตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของชุมชนโดยนำภูมิปัญญาท้องถิ่น ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน รวมทั้งทุนทางทางสังคมที่เป็นปัจจัยหนุนเสริมให้ชุมชนในพื้นที่ เกิดกระบวนการพัฒนาชุมชน พร้อมทั้งการที่ชุมชนชนบทที่น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับประยุกต์ใช้ในการพัฒนาชุมชนจนเกิดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมจากการปฏิบัติจริงในการจัดทำโครงการ กิจกรรมต่างๆ ที่นำไปสู่การพัฒนาชุมชนบนฐานทรัพยากรชุมชนที่มีอยู่ สำหรับองค์ความรู้ที่มีอยู่ในพื้นที่ ทั้งที่เป็นทรัพยากร ความรู้ ข้อมูลปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถเรียนรู้และฝึกทักษะความชำนาญที่เหมาะสมกับศักยภาพของตนเอง โดยเน้นให้ชุมชนเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชน ด้านการบริหารจัดการ การวิเคราะห์และวางแผน ภายใต้การจัดการที่เหมาะสม เพื่อให้การแก้ปัญหา ตรงกับความต้องการ โดยใช้เวทีชุมชน และกระบวนการการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ประชาชนได้มาเรียนรู้ร่วมกัน และนำไปปฏิบัติ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตหรือพึ่งตนเองได้จากกิจกรรมในการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ ทำให้ผู้วิจัยได้เล็งเห็นความสำคัญในการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองในด้านคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจและสังคม พร้อมกันนั้นมีการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมทำให้ชุมชนค้นพบแนวทางในการพึ่งตนเองนำไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนต่อไป
จากสถานการณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยเห็นว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนบทได้ปรับเปลี่ยนจากการพึ่งพิงปัจจัยต่างๆภายนอกชุมชนเป็นการพึ่งตนเองจากปัจจัยที่มีอยู่ภายในชุมชน โดยอาศัยตนเองและทุนทางสังคมในการส่งเสริมความสามารถในการพึ่งตนเองที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างแท้จริง อันเป็นการวางฐานการเสริมพลังชุมชนในการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการจัดการตนเองด้านเศรษฐกิจบนฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืนต่อไป |
จุดเด่นของโครงการ : | - |
วัตถุประสงค์ของโครงการ : | 1.เพื่อศึกษากระบวนการการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน
2.เพื่อนำเสนอรูปแบบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน
3.เพื่อนำผลการวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ |
ขอบเขตของโครงการ : | 1. ขอบเขตด้านพื้นที่ งานวิจัยนี้ศึกษาเฉพาะเขตพื้นที่ชุมชนบ้านเนินถ่าน หมู่ที่ 6 ตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
2. ขอบเขตประชากร กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก(Key- Information) ของงานวิจัยครั้งนี้ได้แก่
ผู้นำชุมชน ทั้งที่เป็นทางการ ได้แก่
-นายกเทศมนตรีตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
-กำนันตำบลตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
-ผู้ใหญ่บ้าน บ้านเนินถ่าน หมู่ที่ 6 ตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
-ประธานกลุ่มและสมาชิกกลุ่มด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์หรือกลุ่มอาชีพต่างๆในชุมชนที่ดำเนินกิจกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง
ผู้นำไม่เป็นทางการ ได้แก่ อดีตผู้ใหญ่บ้าน , ผู้อาวุโสในชุมชน , ปราชญ์ชาวบ้านที่ได้รับ การยอมรับในชุมชน , พระสงฆ์ , ครู เป็นต้น
ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคท้องถิ่น ได้แก่ พัฒนาการอำเภอเมือง จังหวัดชัยนาทพัฒนากรตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท นายกเทศมนตรีตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
3. ขอบเขตเนื้อหา เนื้อหาในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
1. เนื้อหาเกี่ยวกับบริบทของชุมชนบ้านเนินถ่าน หมู่ที่ 6 ตำบลเสือโฮก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
2. กระบวนการการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน
3. รูปแบบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน
4. ปัญหาและอุปสรรค |
ผลที่คาดว่าจะได้รับ : | ด้านวิชาการ
1.เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืนและสามารถนำองค์ความรู้ในการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชนอื่นที่มีศักยภาพในการจัดการตนเองตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
2.เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์,ชุมชน,หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยในครั้งนี้
3.เกิดชุดความรู้หรือองค์ความรู้ใหม่จากการวิจัยในประเด็นด้านการจัดการตนเองของชุมชนบนฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ด้านสังคมและชุมชน
1.เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์องค์ความรู้ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน
2.สามารถนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ให้เกิดกิจกรรมด้านการพัฒนาชุมชนในพื้นที่
3.สามารถนำรูปแบบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ให้เกิดการพัฒนาชุมชนในชุมชนอื่นต่อไปได้
หน่วยงานภาครัฐที่นำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์
1. สาขาวิชาสังคมวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
2. สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดชัยนาท
3. สำนักงานพัฒนาชุมชน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
4 .เทศบาลตำบลเสือโอก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
5 .หน่วยงานภาคีความร่วมมือต่างๆที่ทำงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่งานวิจัย
ด้านวิชาการ
1.เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืนและสามารถนำองค์ความรู้ในการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชนอื่นที่มีศักยภาพในการจัดการตนเองตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
2.เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์,ชุมชน,หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยในครั้งนี้
3.เกิดชุดความรู้หรือองค์ความรู้ใหม่จากการวิจัยในประเด็นด้านการจัดการตนเองของชุมชนบนฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ด้านสังคมและชุมชน
1.เกิดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์องค์ความรู้ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน
2.สามารถนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ให้เกิดกิจกรรมด้านการพัฒนาชุมชนในพื้นที่
3.สามารถนำรูปแบบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ให้เกิดการพัฒนาชุมชนในชุมชนอื่นต่อไปได้
หน่วยงานภาครัฐที่นำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์
1. สาขาวิชาสังคมวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
2. สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดชัยนาท
3. สำนักงานพัฒนาชุมชน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
4 .เทศบาลตำบลเสือโอก อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
5 .หน่วยงานภาคีความร่วมมือต่างๆที่ทำงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่งานวิจัย |
การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ : | 1.แนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
2. แนวคิดการพัฒนาศักยภาพชุมชน
3.แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้
4.แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม
5.แนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืน |
ทฤษฎี สมมุติฐาน กรอบแนวความคิด : | - |
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล : | ในระหว่างกระบวนการวิจัยที่จะเกิดขึ้นในโครงการนี้ เป็นลักษณะของวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยเน้นการประยุกต์รูปแบบการวิจัยที่ชุมชนท้องถิ่น ได้คิดค้นหาในระหว่างกระบวนการวิจัยที่จะเกิดขึ้นในโครงการนี้ เป็นลักษณะของวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยเน้นการประยุกต์รูปแบบการวิจัยที่ชุมชนท้องถิ่น ได้คิดค้นหาแนวทางการพัฒนานวัตกรรมชุมชนเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน กล่าวคือ ชุมชนท้องถิ่นมีองค์ความรู้ในการพัฒนาท้องถิ่น แกนนำชุมชนเป็นผู้ที่คิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน ดำเนินการต่างๆในการดำเนินงาน รวมทั้งรับผลลัพธ์สุดท้ายจากการวิจัยเอง ซึ่งประสบการณ์จากการที่ชุมชนท้องถิ่นได้เข้าถึงหนทางในการค้นหาองค์ความรู้ด้วยตัวเอง จะส่งผลให้ชุมชนเกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาชีวิต เนื่องจากภูมิความรู้ไม่ใช่อยู่ในลักษณะแค่การรับรู้ และการรู้จักเท่านั้น แต่เป็นความรู้ที่รู้จริง และรู้ลึกถึงหลักการ แนวทาง วิธีการทำ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในทางปฏิบัติ
สำหรับทีมงานวิจัย และภาคีที่เกี่ยวข้องมีแนวทางที่จะนำคุณค่าของงานวิจัยไปสร้างสรรค์สังคมด้วยช่องทางที่หลากหลายซึ่งประกอบด้วย หนึ่ง ได้เสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชนในการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้ สอง การขยายผลสู่ชุมชนอื่นโดยการนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับพื้นที่ที่อยู่ในเครือข่ายของทีมงานวิจัย สาม การสร้างสรรค์ให้เกิดคุณค่าทางการศึกษาด้วยการใช้ชุมชนเป็นฐานของการเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ และเป็นพื้นที่วิจัยแก่นักศึกษาของทางสถาบัน ตลอดจนเป็นชุมชนต้นแบบที่ให้ชาวบ้าน และองค์กรในพื้นที่ต่าง ๆ เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
กล่าวคือ ชุมชนท้องถิ่นมีองค์ความรู้ในการพัฒนาท้องถิ่น แกนนำชุมชนเป็นผู้ที่คิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน ดำเนินการต่างๆในการดำเนินงาน รวมทั้งรับผลลัพธ์สุดท้ายจากการวิจัยเอง ซึ่งประสบการณ์จากการที่ชุมชนท้องถิ่นได้เข้าถึงหนทางในการค้นหาองค์ความรู้ด้วยตัวเอง จะส่งผลให้ชุมชนเกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาชีวิต เนื่องจากภูมิความรู้ไม่ใช่อยู่ในลักษณะแค่การรับรู้ และการรู้จักเท่านั้น แต่เป็นความรู้ที่รู้จริง และรู้ลึกถึงหลักการ แนวทาง วิธีการทำ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในทางปฏิบัติ
สำหรับทีมงานวิจัยและภาคีที่เกี่ยวข้องมีแนวทางที่จะนำคุณค่าของงานวิจัยไปสร้างสรรค์สังคมด้วยช่องทางที่หลากหลายซึ่งประกอบด้วย หนึ่ง ได้เสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชนการพัฒนานวัตกรรมชุมชนเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน สอง การขยายผลสู่ชุมชนอื่นโดยการนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับพื้นที่ที่อยู่ในเครือข่ายของทีมงานวิจัย สาม การสร้างสรรค์ให้เกิดคุณค่าทางการศึกษาด้วยการใช้ชุมชนเป็นฐานของการเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ และเป็นพื้นที่วิจัยแก่นักศึกษาของทางสถาบัน ตลอดจนเป็นชุมชนต้นแบบที่ให้ชาวบ้าน และองค์กรในพื้นที่ต่าง ๆ เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน |
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) : | - |
จำนวนเข้าชมโครงการ : | 468 ครั้ง |