รายละเอียดโครงการวิจัย
กลับไปหน้าโครงการวิจัยทั้งหมด

รหัสโครงการ :R000000395
ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) :การศึกษาการทนความร้อนและการอยู่รอดของกระบือเผือกไทย ภายใต้ความเสี่ยงของสภาพอากาศ งานวิจัยประยุกต์ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษา : จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดชัยนาท และ จังหวัดอุทัยธานี
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) :Study of Heat tolerance in Thai White Buffalos on Survival under the Effects of Climatic Risk Applied Research of Sufficient Economy Philosophy on the Sustainable of Life. Case Studies : Nakhonsawan Province, Chainat Province and Uthaitany P
คำสำคัญของโครงการ(Keyword) :indoor conditions, outdoor conditions, black globe-temperature, normal roof and modified roof, Taro buffalo and Evaluation
หน่วยงานเจ้าของโครงการ :คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม > ภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร สาขาวิชาเกษตรศาสตร์ แขนงวิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์
ลักษณะโครงการวิจัย :โครงการวิจัยเดี่ยว
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย :ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย
ประเภทโครงการ :โครงการวิจัยใหม่
สถานะของโครงการ :propersal
งบประมาณที่เสนอขอ :458400
งบประมาณทั้งโครงการ :458,400.00 บาท
วันเริ่มต้นโครงการ :01 ตุลาคม 2555
วันสิ้นสุดโครงการ :30 กันยายน 2556
ประเภทของโครงการ :งานวิจัยประยุกต์
กลุ่มสาขาวิชาการ :เกษตรศาสตร์
สาขาวิชาการ :สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา
กลุ่มวิชาการ :ทรัพยากรสัตว์
ลักษณะโครงการวิจัย :ระดับชาติ
สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ : สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์
สร้างความร่วมมือประหว่างประเทศ GMS : สร้างความร่วมมือทางการวิจัยระหว่างประเทศ
นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา :นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาณภาพการศึกษา
เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต : เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต
ความสำคัญและที่มาของปัญหา :ประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลกต้องประสบปัญหาในการเลี้ยงสัตว์ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงซึ่งอุณหภูมิสภาพแวดล้อมที่สูงเป็นระยะเวลานานรวมถึงสภาพอากาศแบบร้อนชื้นไม่เพียงแต่ในประเทศไทยที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับความร้อนในการผลิตปศุสัตว์แต่ยังเป็นปัญหาต่อผลผลิตในหลายด้านเป็นปัญหาระดับโลกอันเนื่องมาจากปัญหาภาวะโลกร้อนและแม้แต่ในฤดูกาลที่แตกต่างกันซึ่งโดยทั่วไปแบ่งฤดูกาลออกเป็น 3 ฤดูได้แก่ ฤดูหนาวเริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ฤดูร้อนเริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงมิถุนายนและฤดูฝนเริ่มต้นตั้งแต่ที่เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม (Anon, 2007) ปัญหาที่เกี่ยวกับความเครียดในสัตว์เนื่องจากความร้อนยังทำให้การผสมติดของสัตว์ลดลงตามไปด้วย (Hansen,1994;Khongdeeและคณะ,2005)ในสภาวะอากาศร้อนชื้นทำให้เกิดความชื้นของอากาศสูงส่งผลต่อความสามารถในการระบายความร้อนของตัวสัตว์ออกสู่สภาพแวดล้อมภายนอกถูกจำกัด จนสามารถทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นได้หากสัตว์ไม่สามารถรักษาสมดุลของร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติสัตว์จะประสบปัญหาความเครียดเนื่องจากความร้อน (Heat stress) (Vajrabukka, 1992) ความเครียดเนื่องจากความร้อนมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ อุณหภูมิ,อากาศ, การแผ่รังสี, ความชื้น, และความเร็วลม (Vajrabukka, 1992) ทำให้ค่าทางสรีระวิทยาของสัตว์มีการเปลี่ยนแปลงหากเกิดปัญหาดังกล่าวเป็นเวลานานสามารถทำให้สัตว์ตายได้ (Blackshaw และBlackshaw,1994)
จุดเด่นของโครงการ :กระบือมีข้อได้เปรียบหรือจุดเด่นกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ หลายประการ ได้แก่ การใช้เป็นแรงงาน กระบือมีรูปร่างลักษณะเหมาะสำหรับการใช้เป็นแรงงานในพื้นที่ที่เป็นโคลนตม เพราะขาทั้งสี่ข้างรับน้ำหนักได้ดี มีกีบใหญ่และแข็งแรง เดินได้ดีในโคลน และ มีข้อกีบและข้อขาที่เคลื่อนไหวคล่องตัว ทำให้เดินได้ดีในพื้นที่นาขรุขระ กระบือเป็นแรงงานหลัก ที่สำคัญของชาวไร่ชาวนา กระบือสามารถใช้เป็นแรงงานในการลากเกวียนได้ดีกว่าโค โดยทั่วไปกระบือไถนาได้วันละ 4 – 6 ชั่วโมง หรือประมาณครึ่งไร่ถึงหนึ่งไร่ (1 ไร่ = 1,600 ตารางเมตร) การใช้กระบือไถนาจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการใช้รถไถนาขนาดเล็กมาก การใช้มูลเป็นปุ๋ย ปุ๋ยคอกจากมูลสัตว์มีความสำคัญมากในการฟื้นฟูความอุดมสมบรูณ์ของดิน เนื่องจากที่นาที่ใช้ปุ๋ยเคมีติดต่อกันนานหลายปีจะทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ แข็งเป็นดินดาน แต่ถ้าใส่ปุ๋ยคอกจากมูลสัตว์จะเป็นการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้กับดิน (ตารางที่ 1.2) ทำให้โครงสร้างของดินร่วนซุย เพิ่มธาตุอาหารให้กับพืช ให้ธาตุอาหารพืชในลักษณะต่อเนื่อง และยังช่วยฟื้นฟูสิ่งมีชีวิตในดิน เช่น จุลินทรีย์ ไส้เดือน แมลงต่าง ๆ ปุ๋ยจากมูลกระบือจึงมีประโยชน์แก่ไร่นา กระบือหนึ่งตัวจะให้มูลเป็นปุยได้ถึงปีละ 5.5 ตัน (วันละ 15 กิโลกรัมเปียก) ทำให้เกษตรกรสามารถประหยัดค่าปุ๋ยลง ปัจจุบันมูลกระบือสามารถขายได้ราคา หากเลี้ยงกระบือหลายตัวก็อาจมีรายได้จากการขายมูลกระบือได้อีกด้วย งานวิจัยนี้สามารถแก้ปัญหาสภาพการเลี้ยงสัตว์ในเขตอากาศร้อนชื้นที่เหมาะสมต่อการให้ผลผลิตและระบบสืบพันธุ์ตกต่ำของกระบือ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในเขต 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดชัยนาท และ จังหวัดอุทัยธานี โดยการลดอุณภูมิสูงเนื่องจากการแผ่รังสีความร้อนของดวงอาทิตย์ สามารถลดความเครียดเนื่องจากความร้อน เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพระบบสืบพันธุ์ ลดการใช้ พลังงานด้วยวิธีการดัดแปลงโรงเรือน และศึกษารูปแบบของการทนความร้อนของร่างกาย กระบือ เผือก เพื่อให้สามารถจัดการระยะต่างๆ ของการให้ผลผลิตได้อย่างเหมาะสม ด้วยเครื่องตรวจจับอุณภูมิ ที่สามารถอ่านค่าได้ทันที เป้าหมายในการลดต้นทุนการผลิต ลดปัญหาความเครียดเนื่องจากความร้อน ลดการใช้พลังงานรวมถึง ค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงเรือนแบบที่มีราคาแพง และสามารถแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาในเรื่องการจัดการด้านอาหารจากรูปแบบการทนความร้อนของกระบือเผือกระยะต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์ ในเรื่องของปริมาณผลผลิตและเสริมสร้างระยะสืบพันธุ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด กับสภาพการเลี้ยงในภูมิอากาศแบบร้อนชื้นของประเทศไทย และศึกษาการถ่ายทอดเทคโนโลยีการจัดการกระบือเผือกภายใต้เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ เมื่อกระบือประสบกับความเสี่ยงของผลกระทบจากอุณหภูมิสูงและสภาพอากาศร้อนชื้นในประเทศไทยโดยการดัดแปลงโรงเรือนด้วยวิธีการ ดัดแปลงหลังคาสองชั้นเพื่อลดอุณหภูมิสภาพอากาศร้อนที่มีผลต่อร่างกายของสัตว์และเพิ่มความสามารถในการระบายความร้อนเพิ่มสมรรถภาพการผลิตและศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิยาของร่างกายกระบือเผือก ภายใต้การเลี้ยงในสภาพอากาศแบบร้อนชื้นของประเทศไทย สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทางวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงและการทนต่อความร้อนของสีผิวที่แตกต่างของกระบือ ในการให้ผลผลิตและความแตกต่างทางสรีรวิทยาของร่างกายสัตว์ในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทยต่อไป
วัตถุประสงค์ของโครงการ :1. ศึกษาการทนความร้อนของ กระบือเผือกไทย ที่มีความแตกต่างของสีผิวของสัตว์ในการทนความร้อนเมื่อเลี้ยงดูภายใต้อุณหภูมิสูงในเขตร้อนชื้นของประเทศไทยตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในเขต 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดชัยนาท และ จังหวัดอุทัยธานี 2. ศึกษาการลดผลกระทบของความเครียดเนื่องจากความร้อน โดยการดัดแปลงโรงเรือนด้วยวิธีการ ดัดแปลงหลังคาสองชั้นเพื่อลดอุณหภูมิสภาพอากาศร้อนที่มีผลต่อร่างกายของกระบือเผือกของไทยในระยะยาวด้วยวิธีการดัดแปลงโรงเรือนประหยัดพลังงาน 3. การถ่ายทอดเทคโนโลยี การอยู่รอดของกระบือไทย ภายใต้ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง 4. สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ทั้งในระดับปริญญาโท และปริญญาตรี เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานวิจัยในทางวิทยาศาสตร์ การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ
ขอบเขตของโครงการ :1. ขอบเขตในเชิงปริมาณ กระบือเผือก และกระบือปกติ ในเขต 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท จ.อุทัยธานี จ.นครสวรรค์ 2. ขอบเขตในเชิงคุณภาพ ได้กระบือเผือก และกระบือปกติ ในเขต 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท จ.อุทัยธานี จ.นครสวรรค์ที่มีความสามารถในการให้ผลผลิต และมีระบบสืบพันธุ์ที่สมบูรณ์
ผลที่คาดว่าจะได้รับ :1.การถ่ายทอดเทคโนโลยี การอยู่รอดของกระบือไทย ภายใต้ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ :กระบือเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความสำคัญต่อเกษตรกรรายย่อยในชนบทอยู่ตลอดมาโดยนับว่าเป็นส่วนหนึ่งในระบบการผลิตทางการเกษตรโดยเฉพาะการเลี้ยงไว้ใช้เป็นแรงงานในไร่นา กระบือถูกใช้เป็นแหล่งแรงงานทางการเกษตรมาเป็นเวลานาน โดยส่วนใหญ่จะใช้กระบือในการไถ คราด พรวนที่นา นวดข้าว ลากเกวียน และบรรทุกสิ่งของ กระบือมีอายุการใช้งาน 13 – 14 ปี และไถนาได้เฉลี่ยวันละ 0.6 ไร่ต่อตัว (บุญเสริม และบุญล้อม, 2542) นอกจากนี้ยังใช้มูลทำเป็นปุ๋ยและเมื่อมีความจำเป็นก็สามารถขายเป็นรายได้อีกทางหนึ่งด้วย ขณะที่ผลพลอยได้ในไร่นาซึ่งมีราคาถูกยังสามารถนำมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงกระบือเพื่อเปลี่ยนให้เป็นเนื้อสัตว์ที่มีราคาสูง การปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทำให้กระบือมีความแตกต่างจากโค และเอื้อประโยชน์ในการนำสารอาหารไปเปลี่ยนเป็นเนื้อได้ดีกว่าโค อย่างไรก็ตาม จากข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการเลี้ยงกระบือของเกษตรกรถูกละเลยจากภาครัฐ และเกษตรกรเองก็หันไปเลี้ยงสัตว์พันธุ์ต่างประเทศ ดังนั้น การเลี้ยงกระบือของเกษตรกรส่วนใหญ่จึงยังเป็นแบบพื้นบ้านไม่มีระบบการผลิตในเชิงธุรกิจทั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรเองด้วย (Anon, 2010a) ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงกระบือ เช่น การผสมเทียม (Chaikhong et al., 2010) การถ่ายฝากตัวอ่อน (Techakumphu et al., 2001) และการโคลนนิ่ง (cloning; Suteevun et al., 2006) เป็นต้น การโคลนนิ่งมีจุดประสงค์เพื่อสร้างสัตว์ที่เหมือนกันทุกประการทางด้านพันธุกรรมเป็นจำนวนมาก โดยเริ่มต้นจากการเลี้ยงและเพิ่มจำนวนเซลล์ที่มีความเหมือนกัน ในขั้นตอนนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของเซลล์ให้เป็นไปตามความต้องการแล้วจึงนำแต่ละเซลล์ไปทำให้เกิดเป็นสัตว์ โดยหนึ่งเซลล์จะกลายเป็นสัตว์หนึ่งตัว สัตว์แต่ละตัวที่เกิดขึ้นจะเหมือนกันทุกประการเนื่องจากแต่ละเซลล์เริ่มต้นมีลักษณะเหมือนกัน (Surin Research Station, 2012) การผลิตกระบือมีการพัฒนาไปอย่างมากทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ นอกจากนี้ยังการใช้เทคโนโลยีด้านอื่น ๆ มาช่วยในเพิ่มผลผลิต ดังนี้ 1. การใช้ฮอร์โมนช่วยการขุนกระบือ (Techakumphu et al., 2000) เพื่อให้กระบือพื้นเมืองเพศเมียมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ 2. การฉีดวัคซีนเร่งความสมบูรณ์พันธุ์ การเร่งอัตราการเจริญเติบโตของกระบือเพื่อให้กระบือเพศเมียตกลูกตั้งแต่อายุน้อยและได้ลูกมาก การเร่งอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มผลผลิตเนื้อ ในกระบือเพศผู้ เป็นต้น (Surin Research Station, 2012) กระบือเป็นสัตว์ที่เชื่องช้า นิสัยดี ไม่ดุร้าย เป็นมิตรกับเจ้าของ ไม่ตื่นง่าย เด็กหรือผู้หญิงก็สามารถดูแลได้ กระบือจะเริ่มฝึกให้ทำงานเมื่ออายุได้ 3 ปีครึ่งถึง 4 ปี หรือมากกว่านี้เล็กน้อย และจะใช้งานได้เต็มที่เมื่ออายุ 5 – 6 ปี กระบือเพศเมียเมื่อท้องจะถูกพักการใช้งานจนกว่าจะคลอด ลูกกระบือที่คลอดออกมาจะอยู่กับแม่ตลอดเวลาและจะดูดนมแม่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่มีน้ำนมหรือจนกว่าแม่กระบือจะมีลูกตัวใหม่ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องแรงงานในการเลี้ยงดูซึ่งโดยทั่วไปมักจะไม่ใช้เด็กซึ่งยังไม่แข็งแรงเพียงพอให้ดูแลกระบือที่โตเต็มที่และยังไม่ตอนเพราะกระบือที่ยังไม่ตอนมักจะดื้อ เกษตรกรจึงนิยมตอนกระบือเพศผู้เมื่ออายุ 4 – 5 ปี บางครั้งก็ตอนเมื่อยังไม่โตเต็มที่และส่วนคอของกระบือยังไม่ขยายใหญ่แต่จะทำให้ส่วนคอซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแรงในการทำงานเพราะจะต้องใช้วางแอกหรืออุปกรณ์สำหรับทำงานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควรทำให้กระบือไม่มีพลังเท่าที่ควรจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด คือ ควรตอนเมื่อกระบือโตเต็มที่ ซึ่งจะสังเกตได้จากส่วนคอที่จะมีการขยายเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การตอนกระบือเพศผู้ที่มีลักษณะดีจะทำให้ขาดพ่อพันธุ์ที่โตและแข็งแรง กระบือรุ่นที่มีขนาดเล็กก็จะทำหน้าที่เป็นพ่อพันธุ์แทนทำให้กระบือไทยมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ เมื่อประมาณ 20 – 30 ปีที่ผ่านมา กระบือโตเต็มที่ซึ่งมีน้ำหนัก 500 – 600 กิโลกรัม หาได้ไม่ยาก พ่อกระบือบางตัวอาจจะมีน้ำหนักถึง 700 กิโลกรัม แต่ในปัจจุบันนี้กระบือโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 300 – 350 กิโลกรัมเท่านั้น เมื่อประมาณ 15 – 20 ปีที่แล้ว มีการตื่นตัวกันมากในการวิจัยเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับกระบือ ทั้งการปรับปรุงพันธุ์และเรื่องสุขภาพ แต่ในปัจจุบันค่อย ๆ เลือนหายไป และมีคนเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังสนใจทำงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องกระบือ งานวิจัยนี้สามารถแก้ปัญหาสภาพการเลี้ยงสัตว์ในเขตอากาศร้อนชื้นที่เหมาะสมต่อการให้ผลผลิตและระบบสืบพันธุ์ตกต่ำของกระบือ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในเขต 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดชัยนาท และ จังหวัดอุทัยธานี โดยการลดอุณภูมิสูงเนื่องจากการแผ่รังสีความร้อนของดวงอาทิตย์ สามารถลดความเครียดเนื่องจากความร้อน เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพระบบสืบพันธุ์ ลดการใช้ พลังงานด้วยวิธีการดัดแปลงโรงเรือน และศึกษารูปแบบของการทนความร้อนของร่างกาย กระบือ เผือก เพื่อให้สามารถจัดการระยะต่างๆ ของการให้ผลผลิตได้อย่างเหมาะสม ด้วยเครื่องตรวจจับอุณภูมิ ที่สามารถอ่านค่าได้ทันที เป้าหมายในการลดต้นทุนการผลิต ลดปัญหาความเครียดเนื่องจากความร้อน ลดการใช้พลังงานรวมถึง ค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงเรือนแบบที่มีราคาแพง และสามารถแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหาในเรื่องการจัดการด้านอาหารจากรูปแบบการทนความร้อนของกระบือเผือกระยะต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์ ในเรื่องของปริมาณผลผลิตและเสริมสร้างระยะสืบพันธุ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด กับสภาพการเลี้ยงในภูมิอากาศแบบร้อนชื้นของประเทศไทย และศึกษาการถ่ายทอดเทคโนโลยีการจัดการกระบือเผือกภายใต้เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ เมื่อกระบือประสบกับความเสี่ยงของผลกระทบจากอุณหภูมิสูงและสภาพอากาศร้อนชื้นในประเทศไทยโดยการดัดแปลงโรงเรือนด้วยวิธีการ ดัดแปลงหลังคาสองชั้นเพื่อลดอุณหภูมิสภาพอากาศร้อนที่มีผลต่อร่างกายของสัตว์และเพิ่มความสามารถในการระบายความร้อนเพิ่มสมรรถภาพการผลิตและศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิยาของร่างกายกระบือเผือก ภายใต้การเลี้ยงในสภาพอากาศแบบร้อนชื้นของประเทศไทย สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทางวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงและการทนต่อความร้อนของสีผิวที่แตกต่างของกระบือ ในการให้ผลผลิตและความแตกต่างทางสรีรวิทยาของร่างกายสัตว์ในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทยต่อไป
ทฤษฎี สมมุติฐาน กรอบแนวความคิด :การทนความร้อนของ กระบือเผือกไทย ที่มีความแตกต่างของสีผิวของสัตว์ในการทนความร้อนเมื่อเลี้ยงดูภายใต้อุณหภูมิสูงในเขตร้อนชื้นของประเทศไทยตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ? เพื่อการจัดการกระบือไทยภายใต้ความเสี่ยงสภาพอากาศร้อนชื้น การเพิ่มขนาด น้ำหนักและปริมาณกระบือให้ได้มาตรฐาน ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดชัยนาท และ จังหวัดอุทัยธานี ? การถ่ายทอดเทคโนโลยี การอยู่รอดของกระบือไทย ภายใต้ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล :1. ลงพื้นที่สำรวจกระบือเผือกในเขต จ.ชัยนาท จ.อุทัยธานี จ.นครสวรรค์ 2. จัดการทดลองในพื้นที่ เพื่อเก็บข้อมูลงานวิจัย 3. วิเคราะห์ผลการทดลองในห้องปฎิบัติการ 4. เผยแพร่งานวิจัยในเขตพื้นที่ จ.ชัยนาท จ.อุทัยธานี จ.นครสวรรค์ 5. การกำหนดพื้นที่ เขตพื้นที่ จ.ชัยนาท จ.อุทัยธานี จ.นครสวรรค์ 6. ประชากรตัวอย่าง เขตพื้นที่ จ.ชัยนาท จ.อุทัยธานี จ.นครสวรรค์ 7. การสุ่มตัวอย่าง 8. การเผยแพร่ผลงานวิจัย
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) :-
จำนวนเข้าชมโครงการ :450 ครั้ง
รายชื่อนักวิจัยในโครงการ
ชื่อนักวิจัยประเภทนักวิจัยบทบาทหน้าที่นักวิจัยสัดส่วนปริมาณงาน(%)
นายสมชาย ศรีพูล บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยหัวหน้าโครงการวิจัย50
นางสาวฐิตาภรณ์ คงดี บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยผู้ร่วมวิจัย50

กลับไปหน้าโครงการวิจัยทั้งหมด