รหัสโครงการ : | R000000169 |
ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) : | นวัตกรรมการเพาะกล้าข้าวเมล็ดเดี่ยวเพื่อการเพาะปลูกแบบนาโยน |
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) : | An innovation in single rice grain parachute seeding |
คำสำคัญของโครงการ(Keyword) : | กล้าข้าว, นาโยน, เมล็ดพันธุ์ข้าว |
หน่วยงานเจ้าของโครงการ : | คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม > ภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลและหุ่นยนต์การเกษตร |
ลักษณะโครงการวิจัย : | โครงการวิจัยเดี่ยว |
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย : | ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย |
ประเภทโครงการ : | โครงการวิจัยใหม่ |
สถานะของโครงการ : | propersal |
งบประมาณที่เสนอขอ : | 500000 |
งบประมาณทั้งโครงการ : | 500,000.00 บาท |
วันเริ่มต้นโครงการ : | 01 ธันวาคม 2557 |
วันสิ้นสุดโครงการ : | 30 พฤศจิกายน 2558 |
ประเภทของโครงการ : | การพัฒนาทดลอง |
กลุ่มสาขาวิชาการ : | วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี |
สาขาวิชาการ : | สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย |
กลุ่มวิชาการ : | วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีพื้นฐานทางวิศวกรรมศาสตร์ |
ลักษณะโครงการวิจัย : | ระดับชาติ |
สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ : | สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ |
สร้างความร่วมมือประหว่างประเทศ GMS : | ไม่สร้างความร่วมมือทางการวิจัยระหว่างประเทศ |
นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา : | นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาณภาพการศึกษา |
เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต : | ไม่เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต |
ความสำคัญและที่มาของปัญหา : | การปลูกข้าวของเกษตรกรในปัจจุบันจะมุ่งเน้นไปยังผลผลิตต่อไร่ที่มีปริมาณที่มาก โดยรูปแบบของการทำนาได้เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งแต่เดิมการทำนาจะเป็นรูปแบบนาดำ แต่เนื่องจากนาดำมีต้นทุนที่สูงจากค่าแรงประกอบกับการเทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวที่พัฒนาจากใช้แรงงานคนมาเป็นรถสำหรับเก็บเกี่ยวที่มีความสะดวกมากกว่าสามารถเก็บเกี่ยวได้ครั้งละมากๆ แต่นาดำมักจะมีระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวที่แตกต่างกันส่งผลให้คุณภาพของข้าวแตกต่างกันด้วยซึ่งมีผลให้ราคาขายต่ำลง เกษตรกรได้หันไปทำนาในรูปแบบนาหว่าน เนื่องจากมีต้นทุนค่าแรงที่ต่ำกว่าและมีระยะการเก็บเกี่ยวที่พร้อมกันซึ่งสามารถขายได้ทันทีที่เก็บเกี่ยวเสร็จ แต่การทำนาแบบหว่านมักจะประสบปัญหาเกี่ยวผลผลิตที่ได้จะน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการทำนาแบบนาดำ ดังนั้นเกษตรกรได้มีการแก้ปัญหาผลผลิตโดยการเพิ่มเมล็ดพันธุ์ในการหว่านที่มากขึ้น เพื่อจะทำการเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นนั้นเอง แต่การเพิ่มขึ้นของเมล็ดพันธ์ที่ส่งผลไปยังต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งพันธุ์ข้าวราคาเฉลี่ยต่อถังอยู่ที่ 230-240 บาท โดยนา 1 ไร่จะให้ข้าวปลูก 3-4 ถัง ประกอบกับนาหว่านที่หว่านขณะแห้งเพื่อให้ข้าวงอก แต่ขณะที่ข้าวกำลังงอกก็มักจะมีสตรูพืชเติบโตไปพร้อมๆ กัน จึงทำให้ชาวนาหันไปใช้ยาฆ่าหญ้าเพื่อควบคุมให้หญ้าหยุดการเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังพบว่าการปลูกข้าวแบบนาหว่านมีการเพิ่มปริมาณการใช้ปุ๋ยมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นนั้นเอง
ปัจจุบันได้มีเกษตรกรบางส่วนได้หันไปทำนาแบบนาโยนที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่านาหว่าน เนื่องจากนาโยนที่ใช้เมล็ดพันธ์ข้าวน้อยกว่าซึ่งโดยเฉลี่ยจะใช้อยู่ 1 ถังต่อไร่ และข้อดีของนาโยนคือการเพาะกล้าข้าวที่ใช้ระยะการเพาะ 15 วัน ขนาดความสูงของข้าวโดยเฉลี่ย 12-20 เซนติเมตร เมื่อนำไปโยนในนา 1-2 วันข้าวก็จะตั้งขึ้นทำให้สามารถเปิดน้ำเข้าในนาได้ทันที่ซึ่งน้ำจะเป็นตัวชะลอการเจริญเติบโตของวัชพืชประกอบกับข้าวที่โตแล้วทำให้วัชพืชจำพวกหญ้าโตไม่ทันข้าวนั้นเอง และข้อดีมีอย่างคือแมลงสตรูพืชก็ลดน้อยลงเนื่องมาจากระยะของต้นข้าวที่ไม่ติดกันมากเหมือนนาหว่าน ทำให้เกิดการไหลผ่านของลมได้ดีทำให้แมลงอาศัยอยู่ได้ยากขึ้น นอกจากจะทำให้ลดการใช้เมล็ดพันธ์แล้วในทางอ้อมยังช่วยลดสารเคมีสำหรับกำจัดสตรูพืชและลดการใช้ปุ๋ยอีกด้วย ทำให้ต้นทุนการทำนาลดลงซึ่งมีผลผลิตเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม แต่ยังมีเกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงทำนาในรูปแบบนาหว่านอยู่เนื่องจากการทำนาโยนจะต้องมีการเตรียมกล้าข้าวที่ยุ่งยากอยู่พอสมควรในกรณีเตรียมกล้าเอง แต่ถ้าเป็นกรณีการจ้างทำนาโยนก็พบว่าต้นทุนยังสูงอยู่เมื่อเทียบกับการทำนาหว่าน เกษตรกรส่วนใหญ่จึงไม่นิยมทำนาในรูปแบบนาโยน
ปัญหาที่ทำให้เกษตรกรที่ยังคงทำนาในรูปแบบเดิมก็คือ เกษตรกรยังขาดเทคโนโลยีที่จะช่วยในการเพาะกล้าจำนวนที่พอต่อการเพาะปลูกในเวลาเดียวกัน ซึ่งเทคโนโลยีถูกจำกัดอยู่ในวงแคบๆ ดังนั้นการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองให้กับเกษตรกร และเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีด้านการเพาะปลูก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาทางการเกษตรชาวนาที่ยังยืนและช่วยให้เกษตรกรชาวนาลดต้นทุนเพิ่มกำไรจากการทำนามากขึ้นด้วย ดังนั้นเทคโนโลยีจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาเกษตรกรที่ทำนา ทางผู้วิจัยได้เห็นความสำคัญของปัญหาจึงได้มีการศึกษาและพัฒนาเครื่องมือสำหรับการเพาะกล้าข้าวให้กับเกษตรกร และให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องมืออย่าเต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยในการพัฒนาด้านเกษตรอย่างยังยืน
|
จุดเด่นของโครงการ : |
|
วัตถุประสงค์ของโครงการ : | 1 เพื่อศึกษาบริบทและศักยภาพของการออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรสำหรับกระบวนการเพาะกล้าข้าวแบบเมล็ดเดี่ยว
2 เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและเหตุปัจจัยของการออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรสำหรับกระบวนการเพาะกล้าข้าวแบบเมล็ดเดี่ยว
3 เพื่อกำหนดเป้าหมายและแนวทางของการออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรสำหรับกระบวนการเพาะกล้าข้าวแบบเมล็ดเดี่ยว
4 เพื่อหารูปแบบของการออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรสำหรับกระบวนการเพาะกล้าข้าวแบบเมล็ดเดี่ยว |
ขอบเขตของโครงการ : | 1 ขอบเขตพื้นที่: พื้นที่ชุมชนตำบลสำนักขุนเณร อำเภอดงเจริญ จังหวัดพิจิตร
2 ขอบเขตเวลา: ช่วงเวลาที่ดำเนินการวิจัยปี 2558 เป็นระยะเวลา 1 ปี
3 ขอบเขตประชากร/ กลุ่มตัวอย่าง: ข้าวปลูกพันธุ์พิษณุโลก 60-1
4 ขอบเขตตัวแปรและเนื้อหา:
4.1 เพื่อศึกษาบริบทและศักยภาพของการออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรสำหรับกระบวนการเพาะกล้าข้าวแบบเมล็ดเดี่ยว
4.2 เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและเหตุปัจจัยของการออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรสำหรับกระบวนการเพาะกล้าข้าวแบบเมล็ดเดี่ยว
4.3 เพื่อกำหนดเป้าหมายและแนวทางของการออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรสำหรับกระบวนการเพาะกล้าข้าวแบบเมล็ดเดี่ยว
4.4 เพื่อหารูปแบบของการออกแบบและพัฒนาเครื่องจักรสำหรับกระบวนการเพาะกล้าข้าวแบบเมล็ดเดี่ยว
|
ผลที่คาดว่าจะได้รับ : | - |
การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ : | - |
ทฤษฎี สมมุติฐาน กรอบแนวความคิด : | 1 พันธุ์ข้าวไทย
พันธุ์ข้าว เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญอันดับแรก ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนการผลิต ถ้าหากว่ามีพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ ทั้งข้าวคุณภาพดี ข้าวคุณภาพปานกลาง ข้าวคุณภาพต่ำ และข้าวคุณภาพพิเศษ ที่ตรงกับความต้องการของตลาดและเพื่อทำผลิตภัณฑ์มีความต้านทานต่อโรคแมลง และมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่นแล้วจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายใน การผลิตข้าวหรือเป็นการลดต้นทุนการผลิตข้าวได้เป็นอย่าง
จากอดีต ถึงปัจจุบัน (ปี 2553) สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว ได้ดำเนินงานปรับปรุงพันธุ์ข้าวมาอย่างต่อเนื่องจนได้ข้าวพันธุ์รับรอง พันธุ์แนะนำ และพันธุ์ทั่วไป ให้เกษตรกรปลูกในระบบนิเวศน์ต่างๆ ซึ่งมีทั้งพันธุ์ข้าวนาสวน ข้าวไร่ ข้าวขึ้นน้ำ ข้าวน้ำลึก ข้าวญี่ปุ่น ข้าวลูกผสม และธัญพืชเมืองหนาว จำนวน 118 พันธุ์
พันธุ์ข้าวเหล่านี้มีทั้งชนิดข้าวเจ้าและข้าวเหนียว มีทั้งพันธุ์ที่ปลูกเฉพาะนาปีและปลูกได้ตลอดปี และมีบางพันธุ์เป็นข้าวหอม พันธุ์ข้าวส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง มีความต้านทานต่อโรคและแมลงที่สำคัญ มีคุณภาพการหุงต้มตามความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่เป็นปัญหาสำคัญ อย่างไรก็ตามงานปรับปรุงพันธุ์ข้าวยังคงต้องดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะพันธุ์ที่ออกแนะนำแล้วปัจจุบันบางพันธุ์เกษตรกรอาจจะยังคงนิยมปลูกอยู่ แต่บางพันธุ์เกษตรกรอาจเลิกปลูก เนื่องจากมีข้อด้อยบางประการ การนำเอาพันธุ์ข้าวเหล่านั้นไปใช้ของเกษตรกรจึงเป็นไปในลักษณะของการแก้ ปัญหาเฉพาะหน้าในระยะที่ออกพันธุ์ข้าวนั้นเท่านั้น รวมทั้งบางพันธุ์เมื่อแนะนำให้ปลูกไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วอาจไม่มีความ เหมาะสมในระยะเวลาต่อมา เนื่องจากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง หรือโรค แมลงศัตรูข้าวมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งต้องหาพันธุ์ที่มีคุณภาพดีตามความต้องการของตลาดโลก และมีศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลกได้ จึงต้องดำเนินงานปรับปรุงพันธุ์โดยไม่มีที่สิ้นสุด |
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล : | - |
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) : | - |
จำนวนเข้าชมโครงการ : | 1747 ครั้ง |