รหัสโครงการ : | R000000123 |
ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) : | การวิเคราะห์ปัจจัยการอ่านที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์ |
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) : | Analysis of the reading factors that affect achievement of students in Nakhon Sawan Rajabhat University. |
คำสำคัญของโครงการ(Keyword) : | ปัจจัยการอ่าน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์ปัจจัย |
หน่วยงานเจ้าของโครงการ : | คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี > ภาควิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ |
ลักษณะโครงการวิจัย : | โครงการวิจัยเดี่ยว |
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย : | ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย |
ประเภทโครงการ : | โครงการวิจัยใหม่ |
สถานะของโครงการ : | propersal |
งบประมาณที่เสนอขอ : | 35000 |
งบประมาณทั้งโครงการ : | 35,000.00 บาท |
วันเริ่มต้นโครงการ : | 19 พฤศจิกายน 2556 |
วันสิ้นสุดโครงการ : | 18 พฤศจิกายน 2557 |
ประเภทของโครงการ : | งานวิจัยประยุกต์ |
กลุ่มสาขาวิชาการ : | วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ |
สาขาวิชาการ : | สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตสาศตร์ |
กลุ่มวิชาการ : | สถิติ |
ลักษณะโครงการวิจัย : | ระดับชาติ |
สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ : | สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ |
สร้างความร่วมมือประหว่างประเทศ GMS : | ไม่สร้างความร่วมมือทางการวิจัยระหว่างประเทศ |
นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา : | ไม่นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาณภาพการศึกษา |
เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต : | ไม่เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต |
ความสำคัญและที่มาของปัญหา : | การก้าวเข้าสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้นั้นคนในสังคมจำเป็นต้องมีความตื่นตัวในการแสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆอย่างรอบด้านเพราะโลกปัจจุบันเป็นโลกแห่งยุคข้อมูลข่าวสารความรู้จากอักษรทั้งหลายสามารถถ่ายทอดผ่านการอ่านซึ่งเป็นทักษะสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาเรียนรู้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลเกิดจินตนาการความคิดสร้างสรรค์อันจะนำไปสู่การพัฒนาชีวิตให้สูงขึ้น (ศุภชัย สระพรหม 2554: 1 ) การอ่านเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาหาความรู้และพัฒนาชีวิตซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความรู้แล้วยังก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้แนวทางในการดำเนินชีวิตการอ่านจึงเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับ (กรมวิชาการ 2546 (ก): 188)
การอ่านทำให้มนุษย์เกิดความรู้ความเข้าใจมีทักษะในการพัฒนาชีวิตอย่างรอบด้านทั้งวิทยาการสุขภาพร่างกายวัฒนธรรมประเพณีวิถีชีวิตและการรับรู้ประวัติความเป็นมาในเชื้อชาติการติดต่อสื่อสารและการอ่านเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญและจำเป็นมากในการดำรงชีวิตของคนในยุคปัจจุบันวิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆได้เปลี่ยนแปลงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วการพัฒนาประเทศย่อมต้องอาศัยการอ่านและการแสวงหาความรู้ดังนั้นการอ่านจึงมีความจำเป็นและสำคัญยิ่งที่ประชาชนทุกคนต้องปฏิบัติจนกลายเป็นวิถีชีวิตปรกติ (กลิ่น สระทองเนียม,2554:22)
แม้ว่าในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาหน่วยงานองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านต่อเนื่องกันมาแล้วก็ตามแต่จากผลการสำรวจการอ่านหนังสือของคนไทยของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2551 พบว่าเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปีที่อ่านหนังสือเองหรือผู้ใหญ่อ่านให้ฟังมีร้อยละ 36.0 ส่วนผู้ที่อายุเกินกว่า 6 ปีขึ้นไปอัตราการอ่านหนังสือนอกเวลาเรียนหรือนอกเวลาทำงานมีร้อยละ 66.3 โดยกลุ่มเด็กมีอัตราการอ่านหนังสือสูงกว่าวัยอื่นซึ่งต่างจากญี่ปุ่นสิงคโปร์เวียดนามเป็นอย่างมากเพราะคนของเขามีสถิติการอ่านหนังสือปีละ60 เล่มแต่คนไทยเราได้อ่านหนังสือเฉลี่ยเพียงปีละ2 เล่มเท่านั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมให้คนไทยมีนิสัยรักการอ่านมากขึ้นคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบให้การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติโดยกำหนดให้ปี 2552 – 2561 เป็น“ทศวรรษแห่งการอ่าน” และกำหนดให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปีซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเป็น “วันรักการอ่าน” (ฟาฏินา วงศ์เลขา 2553: 23)
การอ่านเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเรียนรู้เพราะการเรียนวิชาต่างๆทุกระดับต้องอาศัยความสามารถทางการอ่านทั้งสิ้นทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาต่างๆดีตามไปด้วย แม้ว่าการอ่านมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการเรียนการสอนทุกระดับแต่จากการสำรวจสังเกตเบื้องต้นพบว่านักศึกษาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับกิจกรรมต่างๆ และความถี่ในการอ่านหนังสือค่อนข้างน้อย คณะผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาสภาพการอ่านหนังสือของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์ เพื่อนำผลการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับผู้บริหารครูอาจารย์ผู้ปกครองและบุคคลที่เกี่ยวข้องใช้ประกอบการวางนโยบายในการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนในด้านการอ่านของนักศึกษา |
จุดเด่นของโครงการ : | - |
วัตถุประสงค์ของโครงการ : | 1.เพื่อศึกษาปัจจัยด้านทัศนคติต่อการอ่านหนังสือนิสัยรักการอ่าน และทักษะการอ่าน ภาษาไทย
2.เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการสนับสนุนด้านการอ่านของผู้ปกครองและเงินทุน เวลาว่าง
3.เพื่อศึกษาปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมได้แก่ที่พัก เพื่อน และสภาพห้องเรียน |
ขอบเขตของโครงการ : | 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย
ประชากรในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์
ชั้นปีที่ 2 , 3 และ 4
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์ ชั้นปีที่ 2 , 3 และ 4 จำนวน 1,000 คน |
ผลที่คาดว่าจะได้รับ : | เพื่อนำผลการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับผู้บริหาร ครูอาจารย์ ผู้ปกครองและบุคคลที่เกี่ยวข้องใช้ประกอบการวางนโยบายในการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนในด้านการอ่านของนักศึกษา |
การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ : | ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและได้นำเสนอตาม
หัวข้อต่อไปนี้
1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการอ่าน
2. เอกสารทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิสัยรักการอ่าน |
ทฤษฎี สมมุติฐาน กรอบแนวความคิด : | - |
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล : | การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นแบบสอบถามสภาพการอ่านหนังสือของนักศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์แบบสอบถามแบ่งออกเป็นเป็น 6 ตอน
ตอนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว
ตอนที่ 2 แบบสอบถามทัศนคติต่อการอ่าน
ตอนที่ 3 แบบสอบถามนิสัยรักการอ่าน
ตอนที่ 4 แบบสอบถามการสนับสนุนด้านการอ่านของผู้ปกครอง
ตอนที่ 5แบบสอบถามทักษะการอ่านภาษาไทย
วิธีการสร้างเครื่องมือและการหาคุณภาพเครื่องมือ
ตอนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว
ตอนที่ 2 แบบสอบถามทัศนคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทยมีขั้นตอนการสร้างดังนี้
2.1 ผู้วิจัยศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติต่อการเรียน
2.2 ผู้วิจัยศึกษาการสร้างแบบสอบถามทัศนคติต่อการเรียน
2.3 ผู้วิจัยสร้างแบบสอบถามทัศนคติต่อการเรียนตามแนวคิดข้อที่ได้จาก
ข้อ 2.1 และ 2.2 โดยแบบสอบถามทัศนคติต่อการเรียนเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามแนวคิดของลิเคอร์ท(Likert Scale Type) มี 5 ระดับได้แก่จริงที่สุดจริงจริงบ้างจริงน้อยจริงน้อยที่สุด
เกณฑ์การแปลผล
ใช้เกณฑ์การประเมินค่าความหมายแบบสอบถามทัศนคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทยตาม
แนวคิดของวิเชียรเกตุสิงห์ ( 2538: 9 ) ในการวิจัยครั้งนี้แปลผลได้ดังนี้
คะแนนเฉลี่ย 3.67 - 5.00 หมายถึงมีทัศนคติทางบวก
คะแนนเฉลี่ย 2.34 - 3.66 หมายถึงมีทัศคติปานกลาง
คะแนนเฉลี่ย 1.00 - 2.33 หมายถึงมีทัศนคติทางลบ
ตอนที่ 3 แบบสอบถามนิสัยรักการอ่านมีขั้นตอนการสร้างดังนี้
3.1 ผู้วิจัยศึกษาเอกสารทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนิสัยรักการอ่าน
3.2 ผู้วิจัยศึกษาแบบสอบถามนิสัยรักการอ่านของสกุณีเกรียงชัยพร (2548)
3.3 ผู้วิจัยสร้างแบบสอบถามนิสัยรักการอ่านตามแนวคิดข้อที่ได้จากข้อ 3.1
และ 3.2โดยแบบสอบถามนิสัยรักการอ่านเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามแนวคิดของลิเคอร์ท (Likert Scale Type) มี 5 ระดับได้แก่จริงที่สุดจริงจริงบ้างจริงน้อยจริงน้อยที่สุด หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามที่คัดเลือกแล้วในข้อ 2 โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเคอร์ริชาร์ดสัน
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้
1. ผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปเก็บรวบรวมข้อมูลกับนักศึกษา
2. ผู้วิจัยนำแบบสอบถามมาตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามคือตอบครบ
ทุกข้อปรากฏว่าสมบูรณ์ทุกฉบับแล้วตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้และนำข้อมูลมา
วิเคราะห์ทางสถิติต่อไป
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยนำข้อมูลไปวิเคราะห์โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ดังนี้
1. วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานโดยการคำนวณหาค่าร้อยละค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
2. วิเคราะห์ปัจจัยด้านส่วนตัวด้านครอบครัวด้านสิ่งแวดล้อมในมหาวิทยาลัยโดยหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (The Pearson Product Moment Correlation Coefficient) โดยใช้วิธีการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Stepwise Multiple Regression Analysis)
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยนำเสนอข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบสอบถามแล้วนำมาวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
1. สถิติพื้นฐานได้แก่ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย(Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard – Deviation)
2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือได้แก่
2.1 การหาค่าอำนาจจำแนกเป็นรายข้อของแบบสอบถามโดยใช้เทคนิค 27% กลุ่มสูง - กลุ่มต่ำโดยใช้ตารางวิเคราะห์ของจุงเตห์ฟาน
2.2 การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามโดยใช้สูตร KR-20 ของคูเคอร์ริชาร์ดสัน3. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานได้แก่ วิเคราะห์ปัจจัยด้านส่วนตัวปัจจัยด้านครอบครัวและปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมเพื่อทดสอบสมมติฐานโดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Stepwise Multiple Regression Analysis) เพื่อทดสอบสมมติฐาน |
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) : | - |
จำนวนเข้าชมโครงการ : | 697 ครั้ง |