รหัสโครงการ : | R000000016 |
ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) : | แนวทางในการป้องกันและแก้ไขการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยอาศัยปัจจัยที่เป็นตัวทำนายทางด้านอาชญาวิทยา |
ชื่อโครงการ (ภาษาอังกฤษ) : | Ways to prevent and respond to a repeat of the children and youth in the case of an offense related to drugs as a predictive factor of Criminology. |
คำสำคัญของโครงการ(Keyword) : | การกระทำผิดซ้ำ (Repeat offenses), ยาเสพติด (Drug), อาชญาวิทยา (Criminology) |
หน่วยงานเจ้าของโครงการ : | คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ |
ลักษณะโครงการวิจัย : | โครงการวิจัยเดี่ยว |
ลักษณะย่อยโครงการวิจัย : | ไม่อยู่ภายใต้แผนงานวิจัย/ชุดโครงการวิจัย |
ประเภทโครงการ : | โครงการวิจัยใหม่ |
สถานะของโครงการ : | propersal |
งบประมาณที่เสนอขอ : | 400000 |
งบประมาณทั้งโครงการ : | 400,000.00 บาท |
วันเริ่มต้นโครงการ : | 01 ตุลาคม 2556 |
วันสิ้นสุดโครงการ : | 30 กันยายน 2557 |
ประเภทของโครงการ : | งานวิจัยพื้นฐาน(ทฤษฎี)/บริสุทธิ์ |
กลุ่มสาขาวิชาการ : | สังคมศาสตร์ |
สาขาวิชาการ : | สาขานิติศาสตร์ |
กลุ่มวิชาการ : | อื่นๆ |
ลักษณะโครงการวิจัย : | ระดับชาติ |
สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ : | ไม่สะท้อนถึงการใช้ความรู้เชิงอัตลักษณ์ |
สร้างความร่วมมือประหว่างประเทศ GMS : | ไม่สร้างความร่วมมือทางการวิจัยระหว่างประเทศ |
นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา : | ไม่นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาณภาพการศึกษา |
เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต : | ไม่เกิดจากความร่วมมือกับภาคการผลิต |
ความสำคัญและที่มาของปัญหา : | เมื่อมองย้อนไปยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ปัญหายาเสพติด ยังไม่แพร่ระบาดรุนแรงมากทั้งยังสามารถควบคุมและจำกัดวงของการแพร่ระบาดได้ ซึ่งต่างจากปัจจุบัน ที่ปัญหาได้ทวีความซับซ้อนและรุนแรงเพิ่มขึ้น ทุกส่วนของสังคมยอมรับว่ายาเสพติดเป็นปัญหาเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่รัฐบาลของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะทำสงครามกับยาเสพติด ด้วยพลังแผ่นดินนั้น นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีและเป็นก้าวแรกสำคัญที่จะช่วยให้การแก้ปัญหาประสบความสำเร็จได้ ซึ่งได้กล่าวในการประชุมระดมความคิดเพื่อกำหนดแนวทางเอาชนะยาเสพติด ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 10-11 มีนาคม 2544 โดยกล่าวว่า
“ปัญหายาเสพติดมีความรุนแรงมาก จำนวนผู้เสพมีมาก การทำลายของยาเสพติดต่อคุณภาพของคนรุนแรงมาก จะต้องใช้ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดิน จึงจะได้ผล กล่าวคือต้องให้คนทั้งชาติมาช่วยกันต้องให้ทุกคนรู้ว่าภัยของชาติในทุกด้านมันมีอยู่จริง ต้องปลุกเร้าให้เกิดความเป็นชาติความรักสามัคคี”
การใช้ยาเสพติดเป็นพฤติกรรมการใช้ยาในทางที่ผิด เป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่เบี่ยงเบนออกไปจากแนวปกติ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างผสมผสานกันที่สำคัญคือ ต้องมียาเสพติด มีกลุ่มผู้ค้าและกลุ่มผู้เสพ ซึ่งก็คือประชากรในทุกกลุ่มที่อยู่ในสังคม รวมทั้งภาวะทางสังคมที่เอื้ออำนวยให้เพลี่ยงพล้ำตกเป็นทาสยาเสพติดชนิดนั้นๆการที่บุคคลจะตัดสินใจเลือกที่จะใช้ยาเสพติดเป็นทางออกหรือไม่นั้น มีองค์ประกอบอยู่หลายอย่างในทีนี้จะขอกล่าวถึงบริบทโดยรวมที่เกี่ยวข้อง ในการเอื้อให้เกิดปัญหายาเสพติด ดังนี้
1.สภาวะของสังคม สภาพสังคมที่มีความปกติสุข ทุกคนในสังคมสามารถดำเนินชีวิตอย่างปกติธรรมดาได้อย่างมีความสุข ไม่มีแรงผลักดันให้ต้องพึ่งยาเสพติด และมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าการใช้ยาเสพติดการใช้ยาในทางที่ผิดก็จะไม่เกิดขึ้น
2. ขนบธรรมเนียมและประเพณี มีส่วนสำคัญในฐานะปัจจัยเกื้อหนุนต่อการใช้ยาเสพติดเช่นครอบครัวที่พ่อแม่มีอาชีพต้มเหล้าขาย หรือเปิดร้านขายเหล้า บุหรี่ หรือครอบครัวที่พ่อแม่ นิยมตั้งวงกินเหล้า เล่นไพ่ สูบบุหรี่ รวมทั้งธรรมเนียมพื้นบ้านของบางท้องถิ่นที่ชักชวนกันเสพสิ่งเสพติดกันอย่างสนุกสนานในเทศการต่างๆ ย่อมเป็นองค์ประกอบที่ชักจูงให้เด็กหันไปเสพสิ่งเสพติดตามอย่างได้อย่างง่ายดาย
3. อิทธิพลความฟุ้งเฟ้อ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนในสังคมหันไปเสพสิ่งเสพติด เช่น การเฉลิมฉลองในโอกาสต่างๆ การกระทำตามอย่างของวัยรุ่น ที่คิดว่ายาเสพติดเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัวและจำเป็นต้องใช้เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการเที่ยวเตร่ เป็นต้น ความฟุ้งเฟ้อเหล่านี้เป็นเรื่องของค่านิยมที่เราจะรณรงค์ชักจูงให้เลิกหรือขจัดให้หมดไปได้ยากยิ่ง
4. ขาดแคลนแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ การที่ประชาชนในสังคมขาดแคลนแหล่งพักผ่อนทั้งกายและใจ ทำให้ไม่มีช่องทางผ่อนคลายความเครียดและความกดดัน ประชาชนบางส่วนจึงหันเข้าหาการพักผ่อนด้วยการดื่มเหล้า
จากที่ได้กล่าวถึงปัญหายาเสพติดในภาพรวมมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าการขับเคลื่อนของสังคมโดยรวมจะสามารถส่งผลให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายในทางที่ดีได้แนวคิดทางสังคมที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาต่อสถานการณ์ปัญหายาเสพติด ก็คือ ฉันทามติ (Consensus Theory)กล่าวคือ“ความคิดเห็นที่รวมกันจำนวนหนึ่งของกลุ่มที่ผสมผสานกัน หรือของสาธารณะอย่างหนึ่ง ซึ่งรวมเอาความคิดเห็นของมวลสมาชิก แล้วผนึกเข้าไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่จำเป็นจะต้องเป็นความคิดที่ลงรอยกันเป็นเอกฉันฑ์ แต่เป็นความคิดที่มวลสมาชิกถือเป็นฐานในการปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างน้อยก็คราวหนึ่ง”
ทุกคนในสังคมยอมรับว่ายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญที่สุด ที่บ่อนทำลายประเทศชาติและประชากรในชาติ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ที่ถือว่าเป็นกำลังสำคัญในอนาคต ยาเสพติดก็แพร่ระบาดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทุกส่วนในสังคมพยายามเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่ายิ่งแก้ไข ปัญหาก็ยิ่งมากขึ้นและทวีความรุนแรงซับซ้อนขึ้นทุกทีจากแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า การดำเนินงานเป็นไปในลักษณะแยกส่วน ต่างคนต่างแก้ ความซ้ำซ้อนและความไม่มีเอกภาพในการแก้ไขปัญหาจึงเกิดขึ้น
สำหรับปัญหาการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนในประเทศไทยนั้น นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งและเป็นปัญหาที่ทุกภาคทุกส่วนจะต้องให้ความสนใจและดำเนินการแก้ไขโดยเร่งรีบซึ่งจะเห็นได้ว่า ในแต่ละปีนั้นมีจำนวนเป็นหมื่นๆ ราย อย่างเช่นในปี พ.ศ. 2551 มีจำนวนถึง 46,918 ราย ในปีพ.ศ. 2552 มีจำนวนถึง 46,371 ราย และในปี พ.ศ. 2553 มีจำนวนถึง 44,057 ราย ซึ่งคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก็ถือเป็นคดีความผิดหนึ่งที่มีผู้กระทำผิดเป็นจำนวนมาก (รายงานสถิติคดีประจำปี, กลุ่มงานข้อมูลและสารสนเทศ, สำนักงานพัฒนาระบบงานยุติธรรมเด็กและเยาวชน.2554 : online) เนื่องจากเด็กและเยาวชนเหล่านี้นั้นเป็นวัยที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ (Transitional period) โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น คือ เป็นช่วงที่เชื่อมต่อระหว่างวัยเด็ก เข้าไปสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น(อายุระหว่าง 17-25) ซึ่งช่วงอายุดังกล่าวนี้ในทางอาชญาวิทยาในกลุ่มของ Life-course theory ถือว่าเป็นช่วงอายุที่มีปัญหามากกว่ากลุ่มอื่นๆ เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจและช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการกระทำผิดมากที่สุดหรือสูงที่สุดโดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 13-18 ปี(Sampson and Laub, 1993 : 312)
ฉะนั้นกลุ่มเด็กและเยาวชนเหล่านี้จะต้องได้รับความสนใจและให้การดูแล ป้องกันแก้ไขเป็นพิเศษมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เพื่อมิให้กลุ่มคนเหล่านี้กระทำผิดขึ้นอีกอย่างไรก็ดีการกระทำผิดครั้งแรกของเด็กและเยาวชนเหล่านี้ก็นับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญยิ่งอยู่แล้ว ที่รัฐบาลหรือหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องระดมสรรพกำลังต่างๆ เข้าดำเนินการแก้ไขอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ กลุ่มเด็กและเยาวชนเหล่านี้ยังมีการกระทำผิดอีกหลายๆ ครั้ง หรือกระทำผิดซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องจะต้องระดมสรรพกำลังเข้าดำเนินการป้องกันและแก้ปัญหาดังกล่าวที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก ยากกว่าการกระทำผิดครั้งแรกอีกหลายเท่าตัว เนื่องจากการกระทำผิดซ้ำนั้นมีสาเหตุที่เชื่อมโยงหรือได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ซึ่งบางอย่างก็ไม่เหมือนกับการกระทำผิดครั้งแรก นอกจากนั้นปัจจัยที่มีอิทธิพลเหล่านี้ ยังเป็นปัจจัยที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งและยากต่อการที่จะค้นหา และยากต่อการที่จะป้องกันและแก้ไขได้
ซึ่งการศึกษาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนนอกจากจะทำให้ทราบถึงปัจจัยต่างๆ ว่ามีอิทธิพลต่อการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนมากน้อยแค่ไหน มีอิทธิพลอย่างไรแล้ว ยังจะมีประโยชน์ต่อแนวทางในการดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาการกระทำผิดดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล และทั้งในปัจจุบันและในอนาคต โดยอาศัยพื้นฐานการกำหนดนโยบาย และแผนการดำเนินการมาจากอิทธิพลของปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว |
จุดเด่นของโครงการ : | - |
วัตถุประสงค์ของโครงการ : | การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ
6.1 เพื่อศึกษาถึงปัจจัยทางด้านอาชญาวิทยา ที่สามารถทำนายกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
6.2 เพื่อศึกษาหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด บนพื้นฐานของอิทธิพลของปัจจัย ทางด้านอาชญาวิทยา |
ขอบเขตของโครงการ : | ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตของการวิจัย ดังนี้
ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) เด็กและเยาวชนที่กระทำผิดซ้ำในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดใน 16 ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน และ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และความสามารถ มีความชำนาญเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดในเด็กและเยาวชนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) เด็กและเยาวชนที่กระทำผิดซ้ำในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดใน 16 ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน จำนวน 400 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multistage Random Sampling) และ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และความสามารถ มีความชำนาญเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดในเด็กและเยาวชน จำนวน 30 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
ขอบเขตด้านเนื้อหา
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับอาชญาวิทยา แนวคิดเกี่ยวกับความผูกพันทางสังคม แนวคิดเกี่ยวกับความบีบคั้นหรือความกดดันทางสังคม และแนวคิดเกี่ยวกับโอกาสในการกระทำผิด
ขอบเขตด้านระยะเวลา
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 ถึงเดือน กันยายน พ.ศ. 2556 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 1 ปี
ขอบเขตด้านตัวแปร
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 1) ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ตัวแปรทางด้านภูมิหลังทางประชากร ตัวแปรทางด้านความผูกพันทางสังคม ตัวแปรทางด้านการคบหาสมาคมกับเพื่อนที่เคยกระทำผิด ตัวแปรทางด้านความบีบคั้นหรือความกดดันทางสังคม และตัวแปรทางด้านโอกาสในการกระทำผิด และ 2) ตัวแปรตาม ได้แก่ การกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด |
ผลที่คาดว่าจะได้รับ : | 17.1 ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยทางด้านอาชญาวิทยาที่มีอิทธิพลต่อกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด (P)
17.2 ได้แนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด บนพื้นฐานของอิทธิพลของปัจจัยทางด้านอาชญาวิทยา (P)
17.3 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ได้องค์ความรู้ที่เป็นพื้นฐานในการบริการทางวิชาการ ตลอดจนใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด (I)
17.4 กรมคุมประพฤติ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สามารถนำผลการวิจัยที่ได้ ไปใช้เป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อไป (G) |
การทบทวนวรรณกรรม/สารสนเทศ : | แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับอาชญาวิทยา
แนวคิดเกี่ยวกับความผูกพันทางสังคม
แนวคิดเกี่ยวกับความบีบคั้นหรือความกดดันทางสังคม
แนวคิดเกี่ยวกับโอกาสในการกระทำผิด |
ทฤษฎี สมมุติฐาน กรอบแนวความคิด : | - |
วิธีการดำเนินการวิจัย และสถานที่ทำการทดลอง/เก็บข้อมูล : | การวิจัยครั้งนี้มีลักษณะเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยมีรายละเอียดวิธีดำเนินการวิจัย ดังนี้
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1)เด็กและเยาวชนที่กระทำผิดซ้ำในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดใน16 ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน จำนวน 14,695 คน และ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และความสามารถ มีความชำนาญเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดในเด็กและเยาวชน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1)เด็กและเยาวชนที่กระทำผิดซ้ำในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดใน 16 ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนจำนวน 400 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน และ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และความสามารถ มีความชำนาญเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดในเด็กและเยาวชน จำนวน 30 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ฉบับ ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 เป็นแบบสอบถามการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติด และฉบับที่ 2 เป็นแบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ทบทวนเอกสารและสังเคราะห์แนวคิด และทฤษฎีต่างๆ ในทางอาชญาวิทยาในการอธิบายหรือทำนายการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2. วิเคราะห์ปัจจัยทางด้านอาชญาวิทยาที่มีอิทธิพลต่อการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
3. สรุปผลที่ได้วิเคราะห์ปัจจัยทางด้านอาชญาวิทยาที่มีอิทธิพลต่อการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
4. สัมภาษณ์แบบลึก (In-depth Interview) ผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำผิดซ้ำของเด็กและเยาวชนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดบนพื้นฐานของอิทธิพลของปัจจัยทางด้านอาชญาวิทยา
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และข้อมูลเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์ทางสถิติ (Statistic Analysis) โดยการวิเคราะห์ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์?เส้นทาง (Path Analysis) |
คำอธิบายโครงการวิจัย (อย่างย่อ) : | - |
จำนวนเข้าชมโครงการ : | 180 ครั้ง |